xs
xsm
sm
md
lg

จิตร ภูมิศักดิ์-ลูกผู้ชายไทยที่ไม่มีคนอยากเป็น

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตวันรอน

"อ้าว จิตร คุณหรือนี่ ผมเกือบจะเหยียบคุณเข้าไปแล้วละสินี่" ผมอุทานออกมาพร้อมกับถอยหลังออกมาจากด้านหลังของผู้ชายคนที่นั่งยองๆ อยู่ที่แผงแบกะดินข้างหน้าในลักษณะไม่สนใจอะไรก่อน ไม่ว่าคนเดินผ่านนอกจากจะนั่งเลือกหนังสือบนแผงเก่าๆ ไม่กี่เล่มข้างหน้า

ตรงนั้นเป็นบริเวณเชิงสะพานพุทธฝั่งธนบุรีที่ยังมีที่ว่างพอจะตั้งของขายและให้เป็นที่เดินเล่นบนถนนของประชาชนอยู่ ทุกวันจะมีแผงขายของสัพเพเหระทุกอย่างของชาวบ้านไปวางขาย ไม่ว่าจะเป็นขนมไทยหรือแผงแบกะดินที่มีหนังสือเก่าๆ บรมโบราณวางขายอยู่ ซึ่งโดยมากถ้าไม่เป็นชายชราก็จะเป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งเป็นอาชีพที่ทุกวันนี้ขยายตัวมาเป็นร้านหนังสือสวนจตุจักร

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นคนอยู่ไม่สุข ถ้ามีโอกาสจะไปเที่ยวไปเดินก็มักจะไปตามริมถนนหนทางที่ไม่โก้เก๋แบบนั้นเป็นประจำ และแผงหนังสือเก่าๆ เป็นหนังสือที่น่าสนใจที่สุดซึ่งส่วนมากจะเป็นหนังสือเก่าที่ไม่ถูกทิ้งจากบ้านผู้ลากมากดีหรือหนังสือแจกงานศพทั้งเก่าและทั้งใหม่ คนที่นั่งหันหลังให้ผมอยู่นั้นเป็นหนุ่มที่ค่อนข้างผอมบางหรือไม่ได้มีสง่าราศีอะไรมากนัก เขาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนที่ผมมี เนื่องจากเราเป็นนักเก็บหนังสือเก่าๆ ที่พิมพ์แจกในงานศพหรือเรื่องสัพเพเหระมาด้วยกัน

เรามักจะพบกันเสมอในสถานที่แบบนี้เพื่อหาอะไรต่ออะไรดูกันเพราะเราคงไม่มีอะไรมากมายไปกว่านั้น
อาจจะเรียกว่าเป็นสมัยที่แห้งแล้งและไม่มีความหมายสำหรับคนหนุ่มคนสาวไทย เพราะไม่มีใครมีรถยนต์หรือไม่มีใครหวือหวาสำหรับคนนั้น ที่ถนนหนทางยังไม่มีพวกสายเดี่ยวและการเกาะเกี่ยวกันตามถนนหนทางเพื่อวัดสะดืออวดโฉมกันเล่นเพื่อวัดความทุเรศอนาจารอย่างทุกวันนี้ สำหรับคนรุ่นนั้น เราก็มีชีวิตอยู่กันไปตามมีตามเกิดเท่าที่ใครจะมีกรรมมีเวรตามบุญวาสนาของแต่ละคน

จิตร ภูมิศักดิ์ในตอนนั้น เขาไปรับจ้างสอนภาษาอังกฤษชั่วโมงละ 33 บาทอยู่ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และดูเหมือนว่ายังคงเป็นอาจารย์ประจำโรงเรียนเพชรบุรีอย่างที่เคยเป็นมาแล้วหลายปี เขาจบการศึกษาอักษรศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ฮือฮากันว่าเป็นโรงเรียนของเทวดาที่คนยากคนจนอย่างจิตร ภูมิศักดิ์ ไปเรียนไม่ได้หรือต้องถูกนักเรียนเทวดาด้วยกันจับโยนบก โดยไม่มีความผิดในการทำร้ายร่างกายหรือเจตนาจะฆ่าตามกฎหมายและต้องถูกหยุดพักเรียนถึง 2 ปีโดยไม่มีความผิดใดๆ ด้วย แต่เป็นเพราะการเกิดมาเป็นคนของเขาเกิดมาจากคนยากคนจนธรรมดานั่นเอง จะไม่มีใครสนใจหรือจะไม่มีกฎหมายใดๆ ให้ความเป็นไทยของเขา นั่นเป็นธรรมเนียมคนไทย แต่สมัยก่อนนี้ ถ้าหากคุณไม่มีความสำคัญอะไรมากนัก คุณก็จะอยู่อย่างคนตายแล้วหรือกำลังจะตายกันไปในอนาคตอย่างไม่มีความหมายอะไรนัก จิตร ภูมิศักดิ์ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสำคัญไม่เกินนั้น

จิตรเป็นลูกผู้ชายแท้ๆ และเป็นลูกผู้ชายตลอดกาลที่ผู้ชายไทยส่วนมากไม่นิยมที่จะเป็นกัน

เมื่อเขาถูกจับไปขังไว้ที่ลาดยาว ผมไปเยี่ยมเขา ผมได้แสดงความห่วงใยเขามากในฐานะเพื่อนรุ่นน้องที่ผมรู้สึกว่าจะมีอยู่ไม่กี่คน ผมพูดถึงความเป็นผู้นำที่โง่เขลาของจอมพลสฤษดิ์ในเรื่องนี้ให้เขาฟัง เขาตอบกับผมเหี้ยมๆ ว่า ไม่ต้องห่วง ถึงยังไงมันก็ต้องตายก่อนผม

เขายังทะนงและเชื่อมั่นในตัวเองอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เมื่อไม่กี่วันมานี้มีการจัดงานสำคัญขึ้นมางานหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเชิดชูคุณค่าของจิตร ภูมิศักดิ์ ในฐานะนักเขียน นักค้นคว้า หรืออัจฉริยบุคคลทางด้านอักษรศาสตร์และประวัติศาสตร์เก่าๆ ที่มีค่าของไทยอย่างเอิกเกริกและดูเหมือนจะมีการจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมาพร้อมด้วยการประกาศเกียรติคุณของจิตร ภูมิศักดิ์ อย่างยิ่งใหญ่พอสมควรสำหรับคนที่เป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่งที่ผมเกือบจะเดินเหยียบเมื่อหลายปีมาแล้ว

อาจจะมีคนรู้จักจิตร ภูมิศักดิ์มากขึ้น ถ้าจะเป็นไปได้ก็คือชื่อของจิตร ภูมิศักดิ์และคนอย่างจิตร ภูมิศักดิ์ นั้น เป็นคนที่มีค่ามากต่อคนไทยหรือสังคมไทยคนหนึ่งที่เขาไม่ได้รับการสรรเสริญเยินยอ หรือไม่มีการเขียนชื่นชมกันว่าเป็นอัจฉริยชนอย่างที่คนมีชื่อเสียงส่วนมากทุกวันนี้จะได้ถูกกล่าวขวัญ หรือมีการเขียนชื่นชมกันอย่างอึกทึกครึกโครม แม้ว่าจะเขียนเรื่องราวอะไรก็ได้ออกมาให้คนพอรู้เห็นก็ดังสนั่นลั่นทุ่งไปแล้ว

ในสมัยนั้น เมืองไทยเรากำลังจะเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทางด้านความคิดความอ่านและความรู้ที่จะต้องรู้ของประชาชนพลเมือง เราจะไม่นิยมให้มีความรู้อย่างกว้างขวางแก่ประชาชน นอกจากความรู้ที่โรงเรียนที่มีตารางสอนให้สอน คนไทยจึงต้องผจญกับโรคประจำชาติอย่างหนึ่งคือ โรคโง่เขลาที่ทุกคนจะต้องผจญและหาทางเอาเองหรือเรียนรู้ด้วยตนเอง เราอาจจะมีนักปราชญ์ราชบัณฑิตในบ้านเมืองมาก แต่วิชาความรู้ที่มีการเผยแพร่ให้ประชาชนเฉลียวฉลาดทันโลกทันสมัยเพื่อช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์ประเทศชาตินั้นน้อยเต็มที แต่ผมก็เชื่อว่าจิตร ภูมิศักดิ์เป็นคนเดียวที่เปิดหูเปิดตาให้คนรุ่นนั้นเข้าใจปัญหาต่างๆ ของประเทศไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น "ศักดินาไทย" หรือ "สังคมไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา" หรือ "โฉมหน้าจักรวรรดินิยม" "นิราศหนองคาย" "โองการแช่งน้ำ" และอะไรต่ออะไรอีกมากมายที่คนไทยหรือคนรุ่นนั้นไม่เคยทราบมาก่อน เฉพาะความรู้ความชำนาญทางด้านภาษาไทยในยุคสมัยต่างๆ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของไทยและชนชาติต่างๆ ในประเทศไทยที่เขามีความรอบรู้อย่างพิสดารพันลึก ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเป็นนักปราชญ์ราชบัญฑิต

เขาเขียนมันออกมาไม่เคยหยุดเท่าที่เขาจะอ่านทุกเรื่องทุกอย่างไม่เคยหยุดเช่นเดียวกัน

เขาเป็นคนประเภทเดียวกับแฟรงค์ ฟรีแมน หรือคุณอิศรา อมันตกุล ที่เคยบอกกับผมว่า "ไม่ยอม โง่ไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องรู้"

จิตร ภูมิศักดิ์ก็เป็นคนประเภทนั้นหรือยิ่งกว่านั้น

ไม่ว่ามันจะขายได้ ขายไม่ได้ หรือไม่มีใครสนใจเขาก็เขียนและก็มีคนพิมพ์มันออกมา หรือเขียนออกมาแล้วจะทำให้เขาถูกโยนบก ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตหรือถูกถุยใส่หน้าว่าไอ้คอมมิวนิสต์ ซึ่งไอ้คนที่ว่านั้นมันก็ไม่เคยรู้จักว่าคอมมิวนิสต์คืออะไร?

เขาไม่เคยบอกใครว่าเขาเป็นคนมีชื่อเสียงทำงานอย่างนักปราชญ์ของบ้านเมือง แต่เขาจะเขียน จะทำ จะศึกษาและค้นคว้าทุกอย่างที่คนไทยไม่เคยสนใจแม้แต่การแปลหนังสือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย

สมัยที่ผมรู้จักคุ้นเคยกับเขาถึงขนาดลงทุนไปนอนคุยที่บ้านที่ยากจนของแม่และพี่สาวของเขาที่ย่านเสาวนีย์ ในห้องนอนของเขาจะมีรูปของแม็กซิม กอร์กี้ ที่เขาเชิดชูที่สุดคนหนึ่งและคนเดียวในบรรดานักประพันธ์ของโลกเท่าที่ผมรู้

นอกจากภาษาไทยดั้งเดิม ภาษาลาว ภาษาเขมรที่เขารู้อย่างละเอียดชัดแจ้งชนิดที่เขียนเป็นตำราได้ เขายังมีความรู้อย่างดีในภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ โดยไม่เคยไปเรียนอะไรที่ไหนนอกจากปริญญาตรีอักษรศาสตร์ที่เขาได้จากมหาวิทยาลัยที่จับเขาโยนบกในข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์

"อาจารย์จิตร ภูมิศักดิ์มาสอนพวกเราสัปดาห์ละ 6 ชั่วโมงได้ค่าสอนชั่วโมงละ 30 บาท ลูกศิษย์ชาวศิลปากรคนหนึ่งของจิตร ภูมิศักดิ์เคยเขียนถึงอาจารย์ภาษาอังกฤษคนนี้ของเธออย่างชื่นชม จำได้ว่าเมื่อท่านมาสอนเป็นวาระแรกนั้น พวกเราตื่นเต้นกันมาก ด้วยขณะนั้นชื่อเสียงของท่านเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญกันในวงการนิสิตนักศึกษาแล้ว แรกๆ เราไม่เชื่อว่าท่านเป็นคนไทย เกิดในเมืองไทย ไม่เคยไปศึกษาในยุโรปหรืออเมริกา จะสอนวิชาภาษาอังกฤษให้น่าสนใจได้ แต่ปรากฏว่านิสิตนักศึกษาติดอกติดใจในการสอนของท่านมาก ชั้นเรียนซึ่งเคยว่างเปล่าหรือโหรงเหรง พอถึงชั่วโมงอาจารย์จิตรนักศึกษาจะเข้ามาเรียนกันแน่นขนัด"

นี่ก็เป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งในพฤติกรรมของนักวิชาการคนนี้

แต่ทุกครั้งที่จิตร ภูมิศักดิ์ เดินเข้าห้องสอนภาษาอังกฤษ จะมีนักศึกษาของคณะมัณฑนศิลป์ ซึ่งเป็นคณะที่แอนตี้คนอย่างจิตร ภูมิศักดิ์ ถึงขนาดอาฆาตพยาบาทเอาเป็นเอาตายโดยที่เขาไม่ได้เคยทำอะไรให้และเขาไม่สนใจอะไรเมื่อนักศึกษาคนหนึ่งตะโกนดังออกมาว่า "ไอ้คอมมิวนิสต์มาแล้วๆ"

ลูกผู้ชายอย่างเขาจะเป็นสุภาพบุรุษอย่างไม่น่าเชื่อ เขาจะเดินเนิบๆ ตามปกติ ไม่แสดงอาการขุ่นเคืองหรือตอบโต้อะไรที่ลูกศิษย์ในห้องเรียนภาษาอังกฤษพากันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโกรธแค้นกันอยู่ในสีหน้า

ตลอดเวลาค่อนข้างยาวนาน ตั้งแต่บ้านเมืองยังเงียบสงบอยู่กับการแสวงหาอำนาจและตัวใครตัวมันของผู้มีบุญของชาติบ้านเมือง คนไทยยุคนั้นหรือรุ่นจิตร ภูมิศักดิ์หรือผม เราไม่มีอะไรทำมากนัก นอกจากจะเขียนและอ่านกันอย่างคนมีเวรมีกรรม ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูงกับจิตร ภูมิศักดิ์ก็ยังมีอยู่เสมอ ด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตามมีตามเกิด ที่ย่านสลัมเชิงสะพานย่านเสาวนีย์ซึ่งเป็นบ้านของจิตร ภูมิศักดิ์และแม่มีร้านขายอาหารชาวบ้านอยู่ร้านหนึ่งซึ่งเรานัดไปพบหรือไปกินเหล้ากินยากันอยู่บ่อยครั้ง พรรคพวกอีกคนหนึ่งที่จะลืมเอ่ยถึงเสียไม่ได้ก็คุณทวีป วรดิลก หรือทวีปวร บางครั้งเราจะกินจะดื่มกันมากมายพอสมควรแต่จิตร ภูมิศักดิ์ไม่เคยดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่ เราจึงพบปะพรรคพวกได้แต่เพียงอย่างเดียวคือ ปัญหาของบ้านเมืองที่กำลังเร่าร้อนอยู่ในระยะนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าความตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ในระยะนั้นเริ่มจะมีชีวิตขึ้นมาบ้างพอสมควร

แต่อย่างไรก็ตาม ผมมองไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จิตร ภูมิศักดิ์จะต้องไปตายหรือถูกฆ่า เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการเขียนหนังสือเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองและความรู้ทางด้านวรรณกรรมวรรณคดีที่เขามีอยู่ แต่เขาก็หนีข้อหาการเป็นคอมมิวนิสต์ไปไม่พ้น เพราะคำว่าคอมมิวนิสต์นั้นมันคือคำที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองและผู้มีบุญของแผ่นดินได้ใช้ทำมาหากินกันในยุคนั้น

คนอย่างจิตร ภูมิศักดิ์ไม่ใช่คนมีเวรมีภัยต่อใคร ไม่ว่ากับมนุษย์หรือสัตว์ เขาเป็นสุภาพบุรุษและเป็นลูกผู้ชายในทุกสถานที่และทุกสถานะเท่าที่ผมเคยรู้จัก

การตายของจิตร ภูมิศักดิ์ทำให้ผมรู้จักการเมืองอย่างถูกต้องเป็นครั้งแรกในชีวิต และมันจะฝังอยู่ในชีวิตของผม การเมืองเป็นเรื่องของสัตว์ป่าที่เกิดมาเพื่อรักษาความเป็นสัตว์ป่าแต่ละชนิดของตัวเองไว้ในทุกวาระและทุกโอกาส การเมืองไม่มีอะไรอื่นนอกจากเป็นเรื่องของชัยชนะของสัตว์ตัวหนึ่งที่มีโอกาสกว่าสัตว์อีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่มีโอกาสและไม่มีกำลังเท่าเทียมกัน

ประวัติของความเป็นสัตว์ที่อ่อนแอกว่าของจิตร ภูมิศักดิ์ที่ถูกทำร้ายมาตลอดชีวิตอันบริสุทธิ์สะอาดและไม่มีเวรมีภัยของเขา ได้มีผู้เขียนบันทึกไว้ดังต่อไปนี้

"ชีวิตของจิตร ภูมิศักดิ์ เป็นชีวิตของนักต่อสู้เพื่อประชาชนที่สมบูรณ์ ไร้จุดด่างพร้อย คือด้านความสามารถ เขามีความสามารถขั้นอัจฉริยภาพโดยแท้ นับตั้งแต่การรอบรู้ในภาษาไทย เขมร อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รอบรู้เนื้อหา ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม (วรรณกรรม วรรณกรรมวิจารณ์ เพลง ภาพยนตร์) ด้านจิตสำนึก เขามีจิตสำนึกที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อประชาชนอย่างสุดจิตสุดใจ เต็มไปด้วยความกล้าหาญเสียสละโดยไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งตอบแทนจากใคร ชีวิตของจิตรเป็นชีวิตที่ผ่านการต่อสู้กับเผด็จการมาแล้วอย่างโชกโชน"

ผมเสียใจที่ไม่ได้ไปร่วมงานในการเชิดชูเกียรติคุณของเขาที่พรรคพวกเพื่อนฝูงจัดให้เขาเมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมจึงเขียนมาแทนว่า ผมไม่เคยลืมเพื่อนเก่าที่ให้อะไรต่ออะไรผมมากในการรู้จักสังคมไทยอย่างดีมาถึงทุกวันนี้

และที่ผมต้องการบอกเขาว่าก่อนที่เขาจะเข้าป่าไป วันหนึ่งเขาไปพบคุณทวีป วรดิลกเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มของเรา เพื่อตามหาผมว่าผมมีนิวาสสถานที่แน่นอนอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อะไรอื่น เขามีต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือของเขาอยู่กับผมปึกหนึ่งที่เขียนในคุก นั่นคือต้นฉบับเรื่อง "นิราศหนองคาย" ที่เขาให้ผมมาเมื่อผมไปเยี่ยมเขาที่คุกลาดยาวครั้งสุดท้ายเพื่อจะนำมาเก็บไว้และระยะนั้น ผมก็ให้พรรคพวกเพื่อนฝูงไปอ่านดู ปรากฏว่ามันหลุดไปถึงพรรคพวกนักศึกษาคนหนึ่ง ปรากฏว่าพ่อเจ้าประคุณเอาต้นฉบับนั้นไปพิมพ์ออกมาเผยแพร่จำหน่ายเรียบร้อยแล้ว และก็ส่งต้นฉบับคืนผมมาเก็บไว้จนกระทั่งเจ้าของเข้าป่าและเสียชีวิตไป เพราะถูกตำรวจฆ่าเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 ผมก็ไม่ได้คืนให้นอกจากหอบหิ้วไปทุกหนทุกแห่งที่ย้ายที่อยู่ไม่เคยหยุด และก็ยังหาไม่พบและไม่รู้ว่าเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ก็คืนให้เขาไม่ได้จนบัดนี้

ผมกำลังหาอยู่ ไม่ช้าก็คงจะหาพบ

และก็คงจะได้มาเก็บรวบรวมไว้ในมรดกอันล้ำค่าทางวิทยาการอื่นๆ ของเขา
กำลังโหลดความคิดเห็น