xs
xsm
sm
md
lg

จากโองการสวรรค์สู่เสรีภาพแห่งตน

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

3.ฟ้ากับคนเป็นหนึ่งเดียวกัน (เทียนเหรินเหออี)
คนจีนโบราณ ตีความธรรมชาติเป็นฟ้า ซึ่งมีบุคลิกแห่งอำนาจ ทรงพลัง แข็งแกร่ง
การนับถือฟ้า ก็เพื่อเชื่อมโยงตนเองเข้ากับฟ้า มีพลังและแข็งแกร่งเยี่ยงฟ้า
ความไม่รู้ในสิ่งที่เป็นธรรมชาติ กำหนดให้คนจีนโบราณคิดและดำเนิน ชีวิตอยู่ในกรอบกำหนดของธรรมชาติอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นต้นตอของระบบวิธีปฏิบัติต่อกันในสังคมเกษตรโบราณ ที่ผู้เหนือกว่าและผู้อาวุโสกว่ามีความ ถูกต้องเสมอ ดุจฟ้าเบื้องบนที่ไม่มีวันผิด
การกราบไหว้ฟ้าดิน โดยนัยหนึ่งก็คือการยอมรับในความถูกต้องของ ฟ้าดิน ซึ่งก็คือธรรมชาตินั่นเอง
วัฒนธรรมจีนโบราณทุกยุคทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะมีการตีความความสัมพันธ์ระหว่างคนกับฟ้าไปในทางใด ยอมรับหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ถึงที่สุดแล้วก็ยังอยู่ในกรอบของความสัมพันธ์ระหว่างฟ้ากับคน
ตราบจนมนุษยชาติก้าวเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ได้เผยแพร่สู่สังคมจีน คนจีนจึงหลุดออกจากการยึดมั่นในฟ้า และระเบียบวิธีปฏิบัติต่อกันในสังคมจีนโบราณ ทั้งนี้ โดยมีวิทยาศาสตร์และแนวคิดเสมอภาค มีความเป็นอิสระส่วนตัวแบบตะวันตกเข้ามาแทนที่
ทว่าคนจีนก็ยากที่จะยอมรับ "พระเจ้า" ของตะวันตก การเคารพในฟ้า ในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และสำนึกถึงความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างฟ้ากับตนยังฝังลึกอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
ในเมื่อตนเองสลัดหลุดจากความไม่รู้ใน "ฟ้า" แล้ว ไฉนเลยจะถลำลึกลงสู่ห้วงเหวแห่งการยึดติดในสิ่งที่เหนือธรรมชาติเล่า
เพราะเมื่อมีความรู้ความเข้าใจใน "ฟ้า" อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ รู้ความ เป็นมาของเอกภพด้วยกระบวนวิธีทางวิทยาศาสตร์ (ดาราศาสตร์) การดำรง อยู่ของสิ่ง (ฟิสิกส์) การแปรเปลี่ยนของสิ่ง (เคมีวิทยา) และการเจริญเติบโต และสืบชีวิตของสิ่งและของตนเอง (ชีววิทยา) แล้ว มีหรือที่จะกลับถลำลงสู่เหวลึกแห่งอวิชชาที่แม้เมื่อก่อนนี้ก็ยังไม่เคยยึดถือ
นั่นก็เพราะ วัฒนธรรมจีนโบราณทุกยุคทุกสมัย ไม่ยึดติดในเรื่องเหนือ ธรรมชาติ ไม่เชื่อผีสางนางไม้ ไม่มีพระเจ้า เป็นวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนฐานของคน แม้มองฟ้าก็เห็นว่าฟ้าเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันกับคน
การเข้าถึงความจริงโดยกระบวนการรับรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ คือจากการปฏิบัติตามหลักคิดแบบมาร์กซิสม์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือสิ่งยืนยันว่าคนจีนได้พาตนเองหลุดพ้นจากอำนาจฟ้าหรือโองการสวรรค์ มีอิสรภาพแล้วเป็นเบื้องต้น
ในเชิงเปรียบเทียบ สิ่งที่เรียกว่าความจริงและความถูกต้อง หากตีความ ตามแนวคิดมาร์กซิสม์ที่จีนเชิดชูอยู่ในปัจจุบัน ก็คือ ความจริงและความถูกต้องที่พิสูจน์หรือทดสอบได้จากการปฏิบัติ ซึ่งต่างไปจากความจริงและความถูกต้องตามการตีความของผู้มีอำนาจหรือทรงความรู้ในอดีต ที่ย่อมจะตีความไปเพื่อตนเองเป็นหลัก หรืออย่างน้อยก็ต้องมีความหลงผิดหรือ "โมหะ" มาบิดบังไม่มากก็น้อย
ซึ่งปรากฏการณ์แบบหลังนี้ มักมีอยู่ในสังคมที่ขาดรากฐานทางวิทยาศาสตร์ ขาดเงื่อนไขพิสูจน์ความจริงจากการปฏิบัติ พูดตรงๆ ก็คือในสังคมของประเทศกำลังพัฒนาทั่วไป ไม่เว้นแม้ประเทศไทย
จีนที่ปลดปล่อยทางความคิดแล้ว สลัดหลุดพันธนาการวัฒนธรรมก่อนวิทยาศาสตร์ได้อย่างเป็นจริง มีการปลูกฝังทัศนะและวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นเบื้องต้น ยึดมั่นและมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความทันสมัย ภายใต้แนวคิดชี้นำที่เป็นวิทยาศาสตร์ดังกล่าว แม้จะยังอยู่ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา ก็สามารถขับเคลื่อนตัวเองไปตามแนวทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเป็นจริง สามารถทำการพิสูจน์ความถูกต้องของสรรพสิ่ง ด้วยการปฏิบัติ ใช้ผลการปฏิบัติเป็นมาตรฐานวัดสัจธรรมได้อย่างเป็นจริง
การปฏิบัติและตรวจสอบสัจธรรมจากการปฏิบัติ จึงเป็นแก่นแกนของ แก่นแกนวัฒนธรรมยุคใหม่ของประชาชาติจีน
ในสังคมจีนวันนี้จึงยึดมั่นในค่านิยมของการปฏิบัติกับความเป็นจริง
ความจริงและความถูกต้องที่มีความ เป็นวิทยาศาสตร์ เชื่อถือได้จริง ก็คือ ความจริง และความถูกต้องที่พิสูจน์แล้วจากการปฏิบัติ
หากยังไม่ผ่านการพิสูจน์ ด้วยการปฏิบัติ ก็ต้อง "สงวน" ความเห็นไว้ก่อน จะต้องดำเนินการปฏิบัติต่อไป จนกว่า "ความจริง" และความถูกต้องจะปรากฏ
พวกเขาเห็นว่า ด้วย "วัฒน- ธรรม" แห่งการปฏิบัติดังกล่าว จะทำ ให้คนเราหลุดพ้นจากความหลงงมงามได้ ทั้งในเรื่องผีสางและสิ่งเหนือธรรมชาติทั้งปวง ตลอดจนโมหะหรือความหลงผิดใดๆ ทั้งในตัวเราเองและจาก บุคคลอื่นที่แสดงตนเป็นผู้ทรงภูมิธรรม มีความน่าเชื่อถืออยู่ในตัว
หรือที่พวกเขาว่า "ไม่กลัวผี ไม่เชื่อลมลวง" (ปู๋พ่ากุ่ย ปู๋ซิ่นเสีย) เชื่อแต่ความจริงที่พิสูจน์ได้จากการปฏิบัติ
พิจารณาแล้วเห็นได้ว่า แก่นวัฒนธรรมจีนโบราณที่ไม่ยึดติดในผีและสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ตั้งอยู่บนฐานของการพัฒนาความถูกต้องในตน ด้วยการแสดงตนให้สอดคล้องกับระเบียบวิธีปฏิบัติต่อกันและกันในสังคม นั้น ได้สานเชื่อมเข้ากับแนวคิดมาร์กซิสม์ที่ยึดมั่นในการปฏิบัติ และรับรู้ จากการปฏิบัติแล้วเป็นอย่างดี
มองอีกมุมหนึ่ง เราจะพบว่าวัฒนธรรมมาร์กซิสม์ (ความรับรู้หรือจิต สำนึกมาจากการปฏิบัติ) ที่สานเชื่อมตนเองเข้ากับวัฒนธรรมจีน (ยึดมั่นใน ความเป็นธรรมชาติของโลกและของตน) แล้วนั้น จะแสดงออกถึงความเป็น จีนอย่างธรรมชาติ ไม่ทำให้คนจีนรู้สึกแปลกแยกแต่ประการใด
แต่หากเป็นวัฒนธรรมที่ยึดมั่นในสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่นพระเจ้า ดังที่เป็นอยู่ในศาสนาคริสต์และอิสลาม วัฒนธรรมมาร์กซิสม์กลับแทบไม่มีที่ยืน
ก็เป็นเรื่องน่าแปลก เพราะคาร์ล มาร์กซ์ ผู้ให้กำเนิดลัทธิมาร์กซ์นั้น เป็นฝรั่งในคริสตศาสนา แต่ปฏิเสธจิตนิยม ไม่ยอมรับในการดำรงอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งก็คือพระเจ้าเห็นว่าจิตมนุษย์นั้นไซร้ ล้วนมีที่มาจากการรับรู้ในความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติ
แนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ไม่ได้รับการปฏิบัติในสังคมตะวันตกที่เป็นคริสต์ แต่ได้รับการปฏิบัติในสังคมตะวันออก คือประเทศจีน อย่างกลมกลืน เป็นธรรมชาติยิ่งกว่าที่อื่นใด จนกลายเป็นแก่นแกนวัฒนธรรมใหม่ของคนจีน ไปแล้วโดยปริยาย
ทั้งนี้ เพราะคนจีนได้นำเอาลัทธิมาร์กซ์มาเชื่อมประสานเข้ากับแก่น วัฒนธรรมจีนโบราณได้อย่างเป็นจริง ท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติทั้งในช่วงของการปฏิวัติและการพัฒนาประเทศ
ตรงนี้แหละ คือคุณูปการยิ่งใหญ่ของชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะสามารถพลิกแนวคิดและวัฒนธรรมโบราณจีนมาเป็นแนวคิดวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ ทำให้สังคมจีน และประชาชนคนจีนหลุดพ้นจากการครอบงำ (ที่สืบเนื่องกันมานานหลาย พันปี) ของวิธีคิดแบบสังคมเกษตรได้อย่างเป็นจริง สร้างความพร้อมเบื้องต้นให้แก่การ พลิกเปลี่ยนสังคมจีน จากสังคมล้าหลังเป็นสังคมก้าว หน้า และทันสมัยรอบด้านได้ในระยะเวลาอันสั้น
มันคือกระบวนการ พาสังคมจีนก้าวหลุดจากกรอบกำหนดของโองการสวรรค์มาเป็นสังคมที่มีอิสรเสรีภาพทั้งในระดับประชาชาติและระดับปัจเจกบุคคลเลยทีเดียว
เรื่องนี้มีความสำคัญต่อคนจีนและประเทศจีน ทั้งในอนาคตอันใกล้และในอนาคตยาวไกล เพราะเป็นกระบวนการนำไปสู่การหลุดพ้นจากความไม่รู้หรืออวิชชา ไม่หลงงมงายในปรากฏการณ์ภายนอกทั้งทางธรรมชาติและทางสังคม
ดังที่พวกเขาได้แสดงออกเสมอมาถึงมาตรฐานวัดความถูกต้องหรือสัจธรรมว่า จะต้องมาจากการปฏิบัติ ทำให้คนจีนไม่เชื่ออะไรมากไปกว่าการ กระทำ ไม่เชื่ออะไรมากไปกว่าสิ่งที่พิสูจน์ได้จากการปฏิบัติ สรุปคือ ไม่เชื่ออะไรลมๆแล้งๆ
ในทางการเมืองพวกเขาเป็นเช่นนี้ (ไม่เชื่อการพูด แต่ดูการกระทำ) ในทางสังคมก็เป็นเช่นนี้ (ไม่ยอมให้มีการใช้ลัทธิความเชื่อหลอกต้มประชาชน)
กระนั้นก็ตาม ในขณะที่สังคมจีนกำลังพัฒนาเศรษฐกิจ เปิดโอกาสให้ผู้มีโอกาสสร้างฐานะและความร่ำรวยอย่างเสรีนี่เอง ก็ได้มีการใช้กลวิธีหลอกลวงสารพัดกันอย่างดาษดื่นทั่วแผ่นดินจีน ร้อนถึงทางการจีนต้องเร่ง หามาตรการต่างๆ ดำเนินการปราบปรามและป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เน้นหนักไปยังการให้ศึกษาแก่เยาวชน จัดสภาพแวดล้อมที่อำนวยให้แก่ การยกระดับความคิดจิตใจของเยาวชนให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่หลงเชื่องมงาม และไม่เห็นแก่ตัว
เราจะตีความปัญหาเหล่านี้อย่างไรดี?
สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างถึงรากถึง โคนของสังคมจีน ก็ง่ายที่จะเหมาเอาว่า มันเป็นปัญหารากเหง้าของสังคมจีน ไม่อาจแก้ไขให้ตกไปได้
แต่สำหรับผู้ที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมจีน จากวัฒนธรรม โบราณมาเป็นวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์มาร์กซิสม์ ก็ย่อมเชื่อว่ามันเป็นเพียงปัญหาที่เกิดขึ้นในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดที่ดีกว่าของสังคมจีน สามารถแก้ตกไปได้ในที่สุด
ตามคติที่ว่า "ทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยการพัฒนา" ซึ่งทุกวันนี้ จีนกำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง จึงไม่มีอะไรที่ไม่ อาจแก้ไขให้ตกไปได้
ณ วันนี้ วัฒนธรรมมาร์กซิสม์บนผืนแผ่นใหญ่จีนโดยรวม จึงตั้งอยู่บนฐานรวมของความเป็นวิทยาศาสตร์ (ยึดมั่นในการปฏิบัติ) กับวัฒนธรรมโบราณจีน (ที่ยึดมั่นในฟ้าหรือธรรมชาติและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติต่อกันระหว่างคนอย่างถูกต้องหรือจริยธรรม)
ดังนั้น เราจึงพบว่าการแสดงออกของคนจีนยุคปัจจุบัน จึงไม่ได้แตกต่างไปจากคนจีนในอดีต คือถือเอาชีวิตปัจจุบันเป็นฐาน พยายามสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชีวิต ขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพการงาน เป็นต้น การกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษก็เพื่อรำลึกถึงความดีงามมากกว่าอย่าง อื่นใด
การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็เช่นเดียวกัน ไม่มุ่งโลกหน้าโลกหลัง แต่มุ่งอยู่กับโลกปัจจุบันเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะปัจจุบันคนจีนได้เข้าใจความสัมพันธ์ของตนกับฟ้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง หลุดพ้นอย่าง สิ้นเชิงจากกรอบกำหนดของโองการสวรรค์
4. ความเป็นระบบระเบียบในการปฏิบัติต่อกันและกัน (หลี่จื้อจิงเสิน)
วัฒนธรรมโบราณจีนยึดโยงอยู่ได้ด้วยระบบระเบียบในการปฏิบัติต่อกันและกัน ทั้งในระหว่างรัฐหรือสังคมหนึ่งต่ออีกรัฐหรืออีกสังคมหนึ่ง และในระหว่างคนกับคน แต่ในฐานะที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งหลักๆ ก็คือ "ซานกัง อู่ฉัง" (การปฏิบัติต่อกันระหว่างนายกับบ่าว พ่อกับลูก สามีกับภริยา เป็นต้น อย่างมีเมตตา มีความเป็นธรรม มีพิธีการ มีปัญญา และมีความน่าเชื่อถือ เป็นต้น)
ในเชิงการปกครอง เห็นชัดว่าเป็นหลักประกันให้สังคมสงบร่มเย็น ซึ่ง ปัจจุบันนี้จีนเน้นตรงนี้มาก ความเป็นระบบระเบียบของสังคม การปฏิบัติต่อกันและกันระหว่างประเทศ และการปฏิบัติต่อกันและกันระหว่างหน่วยงาน หรือระหว่างบุคคลในสังคมจีน จะต้องดำเนินไปอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อประกันให้การพัฒนาของประเทศจีนดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
ตามหลักการที่ว่า พัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน อย่างยั่งยืน โดยถือเอาคนเป็นศูนย์กลาง
ทั้งหมดนั้น ก็เพื่อการพัฒนาตนเองอย่างรอบด้านของประชาชนคนจีน

กำลังโหลดความคิดเห็น