การเป็นลูกหนี้ คือ การยอมรับการผูกพันทางการเงินกับเจ้าหนี้ ภายใต้เงื่อนไขสัญญากู้ยืมที่ตกลงกันไว้ระหว่างผู้ให้กู้กับผู้กู้
โดยปกติแล้วสัญญากู้ยืมเงินจะถูกกำหนดเป็นเงื่อนไขให้ผู้กู้จำยอมปฏิบัติตามจากฝ่ายให้กู้ ทั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้กู้ โดยที่ผู้กู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้กู้รายย่อยที่กู้ยืมในนามบุคคล เช่น กู้ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน หรือแม้กระทั่งกู้ยืมเพื่อมาทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ จะไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะต่อรองเงื่อนไขใดได้มากไปกว่าที่ผู้ให้กู้กำหนดไว้เป็นมาตรฐานทั่วๆ ไป
แต่ถ้าผู้กู้เป็นนิติบุคคลที่มีฐานะทางด้านการเงินมั่นคง และมีหลักทรัพย์มากกว่าหนี้ที่ขอกู้โอกาสที่จะต่อรองเงื่อนไขเป็นการกระทำได้ไม่ยาก เช่น ขอลดอัตราดอกเบี้ย และเทอมการกู้ยาวๆ รวมไปถึงระยะปลอดดอกเบี้ยและการส่งต้นคืน เป็นต้น
จากนัยแห่งการกู้ และให้กู้ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าโอกาสที่คนจนจะเป็นลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการต่อรองกับเจ้าหนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก หรือพูดได้เลยว่าไม่มีโอกาสเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็นหนี้ในระบบซึ่งมีกฎหมายควบคุม และให้ความเป็นธรรมแก่ลูกหนี้ได้พอสมควร
ด้วยเหตุนี้ คนจนส่วนใหญ่จึงเป็นลูกหนี้ของนายทุนเงินกู้นอกระบบที่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยแพง และมีการทวงหนี้ที่ค่อนข้างป่าเถื่อน ที่มีทั้งขู่เข็ญบังคับ และบีบคั้นด้วยวิธีการต่างๆ นานาจนทำให้ลูกหนี้ทุกข์ระทม จนทำให้บางรายฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้ หรือไม่ก็กลายเป็นอาชญากรปล้นจี้ หรือแม้กระทั่งก่อคดีสะเทือนขวัญด้วยการลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ และฆ่าเหยื่อทิ้งเพื่อปิดปาก ดังที่ได้เกิดขึ้นกรณีของเจ้าหนี้เงินกู้ที่ถูกลูกหนี้ลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่และฆ่าทิ้งฝังไว้ที่บ่อกุ้งในเขตจังหวัดชลบุรี ดังที่ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ไปแล้วเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
อะไรคือเหตุแห่งการก่อหนี้ และจะมีวิธีแก้ไขป้องกันอย่างไรมิให้เป็นหนี้ หรือถ้าจำเป็นต้องเป็นหนี้จะมีวิธีการบริหารหนี้สินอย่างไรมิให้ต้องเดือดร้อน?
เพื่อให้ท่านผู้อ่านที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการเป็นลูกหนี้ ได้มองเห็นเหตุได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้เขียนใคร่ขอให้ย้อนกลับไปดูที่มาของการก่อหนี้ โดยมองลงลึกไปที่ประเภทของหนี้และผู้ก่อหนี้ ก็พอจะสรุปซึ่งสามารถแบ่งได้โดยอาศัยมูลเหตุแห่งการก่อหนี้ได้ดังนี้
1. หนี้เพื่อมากินมาใช้ หนี้ประเภทนี้ถ้าในบุคคลก็เรียกได้ว่าเป็นหนี้ที่เกิดจากความยากจน มีรายได้ไม่พอดีกับรายจ่าย และจำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อมากินมาใช้ และส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้นอกระบบ เพราะถ้าไปกู้ยืมหนี้ในระบบจากสถาบันการเงินคงไม่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถให้กู้ยืมได้ ยกเว้นจะกู้ยืมในรูปของการใช้บัตรเครดิตที่สามารถนำเงินมาใช้ก่อนล่วงหน้า และต้องจ่ายคืนในเวลาที่กำหนด หากเกินกำหนดก็จะต้องมีการจ่ายดอกและอาจถูกดำเนินคดี ถ้าไม่สามารถใช้คืนได้เมื่อถูกเร่งรัด และมีการกำหนดเวลาให้จ่ายคืนโดยการกำหนดเส้นตายไว้
แต่ถ้าเป็นนิติบุคคล หนี้ประเภทนี้จะถูกเรียกเสียสวยหรูว่า หนี้ที่กู้มาเพื่อการบริหาร และหน่วยงานที่จะก่อหนี้ประเภทนี้ได้ มักจะเป็นหน่วยงานธุรกิจของรัฐที่ก่อหนี้ในรูปของการออกพันธบัตรโดยมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน ถ้าเป็นบริษัทเอกชนจะก่อหนี้ในทำนองนี้ได้ยาก เพราะองค์กรธุรกิจที่มีฐานะการเงินในลักษณะนี้อยู่ในข่ายขาดสภาพคล่อง จึงยากที่จะได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงิน และถ้าจะก่อหนี้ก็จะอยู่ในรูปของการเบิกเงินเกินบัญชีหรือที่เรียกว่า โอดี แต่จะต้องนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันควบคู่ไปกับบุคคลค้ำประกันเพื่อให้ผู้ให้กู้มั่นใจว่า ถ้าผู้กู้ไม่จ่ายแล้วสามารถตามยึดทรัพย์ที่ค้ำประกัน รวมไปถึงฟ้องร้องผู้ค้ำประกันนำหนี้สินคืนมาได้โดยไม่ขาดทุน
2. หนี้เพื่อการลงทุน หนี้ประเภทนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ขอกู้มีโครงการที่จะลงทุน และมีการคำนวณผลตอบแทนแล้วเห็นว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนเท่านั้น จึงจะได้รับการพิจารณาจากสถาบันการเงิน ผู้ปล่อยกู้และผู้ขอกู้ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของนิติบุคคล คือมีการจดทะเบียนในรูปบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทมหาชนก็แล้วแต่กรณีของการดำเนินธุรกิจ
ส่วนผู้กู้ที่เป็นบุคคล ถ้าจะกู้เพื่อการลงทุนจะทำได้ในวงจำกัด ส่วนจะกู้เพื่อซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือที่ดินโดยไม่มีบ้าน และในปัจจุบันดูเหมือนการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเพียงอย่างเดียวยากที่จะได้รับอนุมัติจากสถาบันการเงิน ยกเว้นจะขอกู้เพื่อทำธุรกิจโดยนำที่ดินมาค้ำประกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีการพลิกแพลงในการขอกู้กันเกิดขึ้น และก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL ที่เป็นมาตลอด
3. ก่อหนี้ใหม่เพื่อใช้หนี้เก่า การก่อหนี้ในลักษณะนี้ถ้าเป็นบุคคลก็คือ การหมุนเงินแบบงูกินหาง และมักจะเป็นการก่อหนี้ที่ดอกแพงมาใช้ดอกถูก เช่น การกู้หนี้นอกระบบมาใช้ดอกเบี้ยในระบบ จะเห็นได้ในข้าราชการที่กู้นอกระบบหรือลงแชร์เพื่อนำเงินมาใช้หนี้บัตรเครดิต หรือเจ้าหนี้ที่ปล่อยให้บุคคลกู้โดยใช้นิติบุคคลค้ำประกัน เช่น เงินกู้ธนวัฏ์ของธนาคารกรุงไทย เป็นต้น
ส่วนผู้กู้ที่เป็นนิติบุคคลจะก่อหนี้ในลักษณะนี้ก็ต่อเมื่อสามารถจะกู้หนี้ใหม่ที่ดอกถูกและเทอมการกู้ผ่อนปรนมาใช้หนี้เก่าที่ดอกแพง รวมไปถึงการใช้หนี้เก่าที่เร่งรัดด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการก่อหนี้ที่ถูกหลักการบริหารทางด้านการเงิน
จากนัยแห่งประเภทของหนี้ และผู้ก่อหนี้ดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่าผู้กู้ที่มีฐานะทางการเงินไม่เป็นที่เชื่อถือของผู้ให้กู้ ไม่ว่าจะเป็นประเภทบุคคลหรือนิติบุคคล ยากที่จะได้รับเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ขอกู้ ดังนั้น จึงพูดได้ว่ายิ่งจนเงินก็ยิ่งจะจนโอกาสในการเป็นลูกหนี้เพื่อความอยู่รอดทางด้านการเงิน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ยิ่งจนยิ่งยากที่จะเป็นผู้กู้ยืมที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ให้กู้ในระบบ และนี่เองคือจุดที่เกิดลูกหนี้นอกระบบ และก่อให้เกิดความเดือดร้อนเกิดขึ้นรายแล้วรายเล่า ทั้งที่ปรากฏเป็นข่าวและไม่ปรากฏเป็นข่าวให้สังคมรับรู้
แต่อย่างไรก็ตาม การเป็นหนี้ในยุคนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว ทั้งนี้ด้วยเหตุผลรองรับ 2 ประการดังต่อไปนี้
1. คนไทยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมฟุ่มเฟือยมากขึ้น และประกอบกับค่านิยมทางวัตถุได้หลั่งไหลจากตะวันตกเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น จึงทำให้คนหนุ่มคนสาวมีความต้องการขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากที่เคยมีเพียงปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค หรือที่เรียกว่า ปัจจัยสี่ เป็นปัจจัยห้า ปัจจัยหก คือรถยนต์ และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนับวันผู้คนในสังคมจะขาดไม่ได้แล้ว ทั้งที่ถ้าดูจากความจำเป็นและฐานะทางการเงินแล้ว ไม่น่าจะต้องมี แต่ก็กู้ยืมมาเพื่อจะมีให้เสมอเหมือนคนอื่น
2. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เปิดโอกาสให้ผู้คนก่อหนี้ได้ในหลายรูปแบบ ถึงแม้ว่าถ้าดูในแง่ของการให้โอกาสในการทำมาหากิน โดยการหาแหล่งทุนให้จะเป็นเรื่องถูกต้อง แต่การปล่อยกู้โดยที่ไม่มีการปลุกจิตสำนึกในการเป็นหนี้ และแนะนำแนวทางในการนำเงินไปใช้เพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพเหมือนที่เป็นอยู่ น่าจะเป็นการชักชวนให้เป็นลูกหนี้โดยง่ายแล้ว ยังเป็นการทำให้ผู้ปล่อยกู้เสี่ยงต่อการมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
จริงอยู่ผู้ก่อหนี้ในทำนองนี้ จะเป็นคนยากจนที่ควรจะได้รับโอกาสในการได้แหล่งเงินทุนเพื่อมาประกอบสัมมาชีพในฐานะพลเมืองของประเทศเสมอเหมือนกับคนรวยที่เคยก่อหนี้ และเป็น NPL มาแล้วในอดีต
แต่การให้คนจนมีหนี้ และไม่มีโอกาสใช้หนี้นั้น ก็เท่ากับซ้ำเติมความยากจนที่มีอยู่แล้วให้มีมากขึ้น และที่ยิ่งกว่าก็คือ การทำให้สถาบันการเงินมีลูกหนี้ NPL คนจนเพิ่มขึ้นอีกประเภทหนึ่งด้วย และถึงแม้ถ้ามองในแง่หนี้สูญที่เกิดจาก NPL คนจนจะไม่มากนักในแง่ของตัวเงิน แต่ถ้าดูจากจำนวนผู้เดือดร้อนจากการเป็นหนี้ และถูกตามทวงก็มีอยู่ไม่น้อย
ดังนั้น ทางที่ดีถ้าจะให้คนจนเป็นหนี้ ก็ควรที่จะหาทางช่วยพวกเขาด้วยการสร้างทุนทางปัญญาให้เกิดขึ้นพร้อมกับทุนเงิน ก็จะได้ชื่อว่าช่วยคนจนให้หายจนได้จริงๆ
โดยปกติแล้วสัญญากู้ยืมเงินจะถูกกำหนดเป็นเงื่อนไขให้ผู้กู้จำยอมปฏิบัติตามจากฝ่ายให้กู้ ทั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้กู้ โดยที่ผู้กู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้กู้รายย่อยที่กู้ยืมในนามบุคคล เช่น กู้ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน หรือแม้กระทั่งกู้ยืมเพื่อมาทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ จะไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะต่อรองเงื่อนไขใดได้มากไปกว่าที่ผู้ให้กู้กำหนดไว้เป็นมาตรฐานทั่วๆ ไป
แต่ถ้าผู้กู้เป็นนิติบุคคลที่มีฐานะทางด้านการเงินมั่นคง และมีหลักทรัพย์มากกว่าหนี้ที่ขอกู้โอกาสที่จะต่อรองเงื่อนไขเป็นการกระทำได้ไม่ยาก เช่น ขอลดอัตราดอกเบี้ย และเทอมการกู้ยาวๆ รวมไปถึงระยะปลอดดอกเบี้ยและการส่งต้นคืน เป็นต้น
จากนัยแห่งการกู้ และให้กู้ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าโอกาสที่คนจนจะเป็นลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการต่อรองกับเจ้าหนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก หรือพูดได้เลยว่าไม่มีโอกาสเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็นหนี้ในระบบซึ่งมีกฎหมายควบคุม และให้ความเป็นธรรมแก่ลูกหนี้ได้พอสมควร
ด้วยเหตุนี้ คนจนส่วนใหญ่จึงเป็นลูกหนี้ของนายทุนเงินกู้นอกระบบที่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยแพง และมีการทวงหนี้ที่ค่อนข้างป่าเถื่อน ที่มีทั้งขู่เข็ญบังคับ และบีบคั้นด้วยวิธีการต่างๆ นานาจนทำให้ลูกหนี้ทุกข์ระทม จนทำให้บางรายฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้ หรือไม่ก็กลายเป็นอาชญากรปล้นจี้ หรือแม้กระทั่งก่อคดีสะเทือนขวัญด้วยการลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ และฆ่าเหยื่อทิ้งเพื่อปิดปาก ดังที่ได้เกิดขึ้นกรณีของเจ้าหนี้เงินกู้ที่ถูกลูกหนี้ลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่และฆ่าทิ้งฝังไว้ที่บ่อกุ้งในเขตจังหวัดชลบุรี ดังที่ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ไปแล้วเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
อะไรคือเหตุแห่งการก่อหนี้ และจะมีวิธีแก้ไขป้องกันอย่างไรมิให้เป็นหนี้ หรือถ้าจำเป็นต้องเป็นหนี้จะมีวิธีการบริหารหนี้สินอย่างไรมิให้ต้องเดือดร้อน?
เพื่อให้ท่านผู้อ่านที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการเป็นลูกหนี้ ได้มองเห็นเหตุได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้เขียนใคร่ขอให้ย้อนกลับไปดูที่มาของการก่อหนี้ โดยมองลงลึกไปที่ประเภทของหนี้และผู้ก่อหนี้ ก็พอจะสรุปซึ่งสามารถแบ่งได้โดยอาศัยมูลเหตุแห่งการก่อหนี้ได้ดังนี้
1. หนี้เพื่อมากินมาใช้ หนี้ประเภทนี้ถ้าในบุคคลก็เรียกได้ว่าเป็นหนี้ที่เกิดจากความยากจน มีรายได้ไม่พอดีกับรายจ่าย และจำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อมากินมาใช้ และส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้นอกระบบ เพราะถ้าไปกู้ยืมหนี้ในระบบจากสถาบันการเงินคงไม่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถให้กู้ยืมได้ ยกเว้นจะกู้ยืมในรูปของการใช้บัตรเครดิตที่สามารถนำเงินมาใช้ก่อนล่วงหน้า และต้องจ่ายคืนในเวลาที่กำหนด หากเกินกำหนดก็จะต้องมีการจ่ายดอกและอาจถูกดำเนินคดี ถ้าไม่สามารถใช้คืนได้เมื่อถูกเร่งรัด และมีการกำหนดเวลาให้จ่ายคืนโดยการกำหนดเส้นตายไว้
แต่ถ้าเป็นนิติบุคคล หนี้ประเภทนี้จะถูกเรียกเสียสวยหรูว่า หนี้ที่กู้มาเพื่อการบริหาร และหน่วยงานที่จะก่อหนี้ประเภทนี้ได้ มักจะเป็นหน่วยงานธุรกิจของรัฐที่ก่อหนี้ในรูปของการออกพันธบัตรโดยมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน ถ้าเป็นบริษัทเอกชนจะก่อหนี้ในทำนองนี้ได้ยาก เพราะองค์กรธุรกิจที่มีฐานะการเงินในลักษณะนี้อยู่ในข่ายขาดสภาพคล่อง จึงยากที่จะได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงิน และถ้าจะก่อหนี้ก็จะอยู่ในรูปของการเบิกเงินเกินบัญชีหรือที่เรียกว่า โอดี แต่จะต้องนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันควบคู่ไปกับบุคคลค้ำประกันเพื่อให้ผู้ให้กู้มั่นใจว่า ถ้าผู้กู้ไม่จ่ายแล้วสามารถตามยึดทรัพย์ที่ค้ำประกัน รวมไปถึงฟ้องร้องผู้ค้ำประกันนำหนี้สินคืนมาได้โดยไม่ขาดทุน
2. หนี้เพื่อการลงทุน หนี้ประเภทนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ขอกู้มีโครงการที่จะลงทุน และมีการคำนวณผลตอบแทนแล้วเห็นว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนเท่านั้น จึงจะได้รับการพิจารณาจากสถาบันการเงิน ผู้ปล่อยกู้และผู้ขอกู้ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของนิติบุคคล คือมีการจดทะเบียนในรูปบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทมหาชนก็แล้วแต่กรณีของการดำเนินธุรกิจ
ส่วนผู้กู้ที่เป็นบุคคล ถ้าจะกู้เพื่อการลงทุนจะทำได้ในวงจำกัด ส่วนจะกู้เพื่อซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือที่ดินโดยไม่มีบ้าน และในปัจจุบันดูเหมือนการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเพียงอย่างเดียวยากที่จะได้รับอนุมัติจากสถาบันการเงิน ยกเว้นจะขอกู้เพื่อทำธุรกิจโดยนำที่ดินมาค้ำประกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีการพลิกแพลงในการขอกู้กันเกิดขึ้น และก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL ที่เป็นมาตลอด
3. ก่อหนี้ใหม่เพื่อใช้หนี้เก่า การก่อหนี้ในลักษณะนี้ถ้าเป็นบุคคลก็คือ การหมุนเงินแบบงูกินหาง และมักจะเป็นการก่อหนี้ที่ดอกแพงมาใช้ดอกถูก เช่น การกู้หนี้นอกระบบมาใช้ดอกเบี้ยในระบบ จะเห็นได้ในข้าราชการที่กู้นอกระบบหรือลงแชร์เพื่อนำเงินมาใช้หนี้บัตรเครดิต หรือเจ้าหนี้ที่ปล่อยให้บุคคลกู้โดยใช้นิติบุคคลค้ำประกัน เช่น เงินกู้ธนวัฏ์ของธนาคารกรุงไทย เป็นต้น
ส่วนผู้กู้ที่เป็นนิติบุคคลจะก่อหนี้ในลักษณะนี้ก็ต่อเมื่อสามารถจะกู้หนี้ใหม่ที่ดอกถูกและเทอมการกู้ผ่อนปรนมาใช้หนี้เก่าที่ดอกแพง รวมไปถึงการใช้หนี้เก่าที่เร่งรัดด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการก่อหนี้ที่ถูกหลักการบริหารทางด้านการเงิน
จากนัยแห่งประเภทของหนี้ และผู้ก่อหนี้ดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่าผู้กู้ที่มีฐานะทางการเงินไม่เป็นที่เชื่อถือของผู้ให้กู้ ไม่ว่าจะเป็นประเภทบุคคลหรือนิติบุคคล ยากที่จะได้รับเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ขอกู้ ดังนั้น จึงพูดได้ว่ายิ่งจนเงินก็ยิ่งจะจนโอกาสในการเป็นลูกหนี้เพื่อความอยู่รอดทางด้านการเงิน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ยิ่งจนยิ่งยากที่จะเป็นผู้กู้ยืมที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ให้กู้ในระบบ และนี่เองคือจุดที่เกิดลูกหนี้นอกระบบ และก่อให้เกิดความเดือดร้อนเกิดขึ้นรายแล้วรายเล่า ทั้งที่ปรากฏเป็นข่าวและไม่ปรากฏเป็นข่าวให้สังคมรับรู้
แต่อย่างไรก็ตาม การเป็นหนี้ในยุคนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว ทั้งนี้ด้วยเหตุผลรองรับ 2 ประการดังต่อไปนี้
1. คนไทยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมฟุ่มเฟือยมากขึ้น และประกอบกับค่านิยมทางวัตถุได้หลั่งไหลจากตะวันตกเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น จึงทำให้คนหนุ่มคนสาวมีความต้องการขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากที่เคยมีเพียงปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค หรือที่เรียกว่า ปัจจัยสี่ เป็นปัจจัยห้า ปัจจัยหก คือรถยนต์ และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนับวันผู้คนในสังคมจะขาดไม่ได้แล้ว ทั้งที่ถ้าดูจากความจำเป็นและฐานะทางการเงินแล้ว ไม่น่าจะต้องมี แต่ก็กู้ยืมมาเพื่อจะมีให้เสมอเหมือนคนอื่น
2. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เปิดโอกาสให้ผู้คนก่อหนี้ได้ในหลายรูปแบบ ถึงแม้ว่าถ้าดูในแง่ของการให้โอกาสในการทำมาหากิน โดยการหาแหล่งทุนให้จะเป็นเรื่องถูกต้อง แต่การปล่อยกู้โดยที่ไม่มีการปลุกจิตสำนึกในการเป็นหนี้ และแนะนำแนวทางในการนำเงินไปใช้เพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพเหมือนที่เป็นอยู่ น่าจะเป็นการชักชวนให้เป็นลูกหนี้โดยง่ายแล้ว ยังเป็นการทำให้ผู้ปล่อยกู้เสี่ยงต่อการมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
จริงอยู่ผู้ก่อหนี้ในทำนองนี้ จะเป็นคนยากจนที่ควรจะได้รับโอกาสในการได้แหล่งเงินทุนเพื่อมาประกอบสัมมาชีพในฐานะพลเมืองของประเทศเสมอเหมือนกับคนรวยที่เคยก่อหนี้ และเป็น NPL มาแล้วในอดีต
แต่การให้คนจนมีหนี้ และไม่มีโอกาสใช้หนี้นั้น ก็เท่ากับซ้ำเติมความยากจนที่มีอยู่แล้วให้มีมากขึ้น และที่ยิ่งกว่าก็คือ การทำให้สถาบันการเงินมีลูกหนี้ NPL คนจนเพิ่มขึ้นอีกประเภทหนึ่งด้วย และถึงแม้ถ้ามองในแง่หนี้สูญที่เกิดจาก NPL คนจนจะไม่มากนักในแง่ของตัวเงิน แต่ถ้าดูจากจำนวนผู้เดือดร้อนจากการเป็นหนี้ และถูกตามทวงก็มีอยู่ไม่น้อย
ดังนั้น ทางที่ดีถ้าจะให้คนจนเป็นหนี้ ก็ควรที่จะหาทางช่วยพวกเขาด้วยการสร้างทุนทางปัญญาให้เกิดขึ้นพร้อมกับทุนเงิน ก็จะได้ชื่อว่าช่วยคนจนให้หายจนได้จริงๆ