xs
xsm
sm
md
lg

The Great Dictator สยบเผด็จการด้วยเสียงหัวเราะ

เผยแพร่:   โดย: เสรี พงศ์พิศ


แปลกแต่จริงที่บุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกสองคนมีอะไรคล้ายกันมากมายหลายอย่าง เกิดอาทิตย์เดียวกัน เดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน (1889) คนหนึ่งเป็นที่รักมากที่สุดในยุคของเขา อีกคนหนึ่งเป็นที่เกลียดชังมากที่สุด คนหนึ่งคือสัญลักษณ์ของเสียงหัวเราะ อีกคนหนึ่งคือการทำลายล้าง

ชาร์ลี แชปลินและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ คือสองคนที่สวรรค์และนรกส่งมาเกิด คนหนึ่งต่อชีวิตผู้คนทั่วโลกด้วยอารมณ์ขันการแสดงตลก อีกคนหนึ่งคือคนที่ต้องร่วมรับผิดชอบความตายของผู้คนกว่า 55 ล้านในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

สรีระของสองคนนี้คล้ายกัน เป็นคนร่างเล็ก และที่เหมือนกันเลยคือมีหนวดหนึ่งกระจุกใต้จมูก ซึ่งว่ากันว่าฮิตเลอร์เลียนแบบชาร์ลี แชปลิน ซึ่งเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกก่อนฮิตเลอร์หลายปี และเนื่องจากฮิตเลอร์เป็นคนชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ คงไม่พลาดหนังของชาร์ลี แชปลิน

ที่เหมือนกันอีกเรื่องหนึ่งระหว่างสองคนนี้คือ เคยเป็นคนจรจัดไร้หลักแหล่งมาก่อน ไม่มีการศึกษาสูงทั้งคู่ โดยเฉพาะฮิตเลอร์ซึ่งเกลียดการเรียน อยากเป็นศิลปิน ไปเวียนนาเพื่อสอบเข้าสถาบันศิลปะ แต่สอบไม่ได้ กลายเป็นคนจรจัด จนเกิดสงครามจึงไปเป็นทหาร สมัครเข้าพรรคการเมืองนาซีและไต่เต้าจนกลายเป็น “ท่านผู้นำ” (Der Fuehrer)ในท้ายที่สุด

ฮิตเลอร์ คือผู้นำแข็งแกร่งที่เยอรมนีในยุคนั้นต้องการ เป็นยุคย่ำแย่ในทุกๆ ด้าน เศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงาน มีการประท้วงเดินขบวน นัดหยุดงาน เงินเฟ้อ สังคมเกิดความระส่ำระสายไร้ระเบียบ ฮิตเลอร์ก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองด้วยการปลุกระดมความรักชาติ เกลียดยิว ทำให้คนลืมความหิว ซึ่งใช้ได้ดีเสมอในยามวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมไม่ว่าที่ใดในโลก

ชาร์ลี แชปลิน มีความกล้าหาญอย่างยิ่งที่สร้างหนังเสียดสีฮิตเลอร์ในปี 1940 ก่อนที่เยอรมนีจะบุกโปแลนด์และเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ความจริง นักวิเคราะห์สังคมเห็นว่า เพื่อสู้กับเผด็จการ ความกล้าหาญอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำให้สิ่งที่เผด็จการทำกลายเป็นเรื่องน่าขบขัน หมดความสำคัญ จะมีการปฏิเสธแบบไหนใหญ่เท่าการทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นตัวตลก และจะมีอาวุธอะไรที่สู้กับเผด็จการได้ดีเท่าเสียงหัวเราะ

The Great Dictator เป็นหนัง “พูดได้” เรื่องแรกของชาร์ลี แชปลิน ได้ยินเสียงเขาพูดหลากหลายรูปแบบ เลียนแบบการพูดของฮิตเลอร์ได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นภาษาเยอรมันผสมกับภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งไม่ใช่สิ่งสำคัญ ภาษาท่าทางอันเป็นจุดแข็งของเขาพูดได้ดีกว่าคำพูดมากนัก

บทคนจรจัดไม่มีอีกต่อไป ไม่เห็นเอกลักษณ์การเดินแบบเป็ด ยังเห็นแต่การวิ่งหนีและเบรกแบบยกล้อเหมือนในหนังเก่าๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือมุขตลกที่ไม่รู้คิดได้อย่างไร ทำให้คนดูหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล ไม่ว่าเนื้อหาสาระของหนังจะเครียดและเศร้าปานใด ชาร์ลี แชปลินก็สามารถหามุกตลกมาเล่นจนได้ เริ่มต้นหนังขึ้นมาก็ได้ฮากันเลยในฉากสนามรบซึ่งเขาแสดงเป็นทหารปืนใหญ่ มีอยู่ลูกหนึ่งที่ยิงตกตรงปลายกระบอกปืนใหญ่นั่นเอง กว่าจะระเบิดได้ก็ได้หัวเราะกันงอหาย

ชาร์ลี แชปลินแสดงเป็นทั้งฮิตเลอร์และช่างตัดผมชาวยิวพร้อมๆ กัน เขาคงได้ศึกษาลักษณะนิสัยของฮิตเลอร์อย่างละเอียดและลึกซึ้ง จึงสามารถล้อเลียนและเสียดสีได้ขนาดนั้น มีหลักฐานยืนยันว่าฮิตเลอร์ได้ดูหนังเรื่องนี้หลายครั้งและหัวเราะชอบใจหลายฉาก เพราะจริงๆ แล้ว เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับชาวยิวหลังจากปี 1940 โหดร้ายกว่าในหนังของชาร์ลี แชปลินเป็นร้อยเป็นพันเท่า แม้ชาร์ลีแชปลินจะคาดเดาได้บ้าง แต่ยังห่างไกลความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมากนัก

ชาร์ลี แชปลินเองไม่เคยประกาศตัวเองว่าเป็นยิว แต่ผู้สันทัดกรณียืนยันว่าเขามีสายเลือดยิว เพียงแต่ไม่เคยปฏิบัติศาสนาเท่านั้น เขาสร้างหนังเรื่องนี้ก่อนที่ใครๆ จะตระหนักถึงอันตรายของผู้นำที่คนเยอรมันกำลังเคารพบูชาและที่หลายประเทศให้การยกย่องว่าเก่งกล้าสามารถในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสังคมของประเทศเยอรมนี

ฮิตเลอร์น่าจะมีความสามารถในการเป็นผู้นำสูง มาถูกเวลา อาสาแก้ไขความทุกข์ยากจนได้รับความชื่นชมจากประชาชน กลายเป็นคนบ้าอำนาจ หลงใหลได้ปลื้มกับคำสรรเสริญเยินยอของคนรอบข้าง “ผู้คนจะนับถือท่านเหมือนพระเจ้า” ผู้ช่วยของเขาบอก

เผด็จการฮิตเลอร์ฝันไปไกล อยากเป็นใหญ่ เป็นจักรพรรดิผู้ครองโลก ฉากที่เขาเต้นรำเล่นกับลูกโลกลูกโป่งเป็นฉากที่น่าชม ในขณะที่ช่างตัดผมชาวยิวก็เปิดดนตรี Hungarian Dance หมายเลข 5 ของบราห์มส์โกนหนวดให้ลูกค้าตามท่วงทำนองและจังหวะดนตรีแบบไม่มีที่ติเช่นกัน คนหนึ่งฝันไปรำไปเพื่อครองโลก อีกคนหนึ่งเต้นไปรำไปในการประกอบสัมมาชีพเพื่ออยู่รอด

ฮิตเลอร์เป็นที่รู้จักว่ามีความสามารถยอดเยี่ยมในการพูดต่อหน้าฝูงชน ใช้ภาษาและลีลาการพูดกระตุ้นความรู้สึกร่วมและก่อความเร้าใจได้อย่างมีพลัง บางครั้งผู้ฟังเหมือนต้องมนตร์สะกด ฝูงชนคลั่งไคล้ในการพูดของเขาที่ค่อยๆ โน้มน้าวจิตใจให้คล้อยตามจนถึงจุดสุดยอดที่ทุกคนจะต้องโห่ร้องตอบรับประหนึ่งกำลังร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ฮิตเลอร์เป็นผู้นำ “ลัทธิศาสนา” ใหม่ที่ยิ่งใหญ่เขาคือ “ผีบุญ” คนใหม่ที่มากอบกู้ชาติ กอบกู้โลก

แม้ชาร์ลี แชปลินจะมีเวลาเตรียมตัว เขียนบทดีเพียงใดก็ดูเหมือนว่า “สุนทรพจน์” อันยาวเหยียดในตอนจบของหนังก็ยังไม่อาจนำไปเปรียบกับ “สุนทรพจน์” ของฮิตเลอร์หรือมุสโสลินี เผด็จการชาวอิตาเลียน ซึ่งการพูดครั้งสำคัญๆ ของทั้งสองได้รับการบันทึกไว้และถูกใช้เพื่อการเรียนการสอนภาษาเยอรมันและอิตาเลียน โดยเฉพาะการแง่ของวาทศิลป์มาจนถึงทุกวันนี้

แต่ชาร์ลี แชปลินเองก็จงใจไม่เอาสุนทรพจน์ของตนเองไปเปรียบกับฮิตเลอร์ เขาต้องการปลุก จิตสำนึกไม่ใช่เร้าอารมณ์ เขาต้องการเสนอแนวทางแห่งเหตุผลและปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมทั้งในและระหว่างประเทศ ไม่ใช่แสดงวาทศิลป์เพื่อให้คนหลงใหลคลั่งไคล้และเดินตามแบบมืดบอด ทำให้ลืมความหิวได้เพียงชั่วขณะ แต่ระยะยาวคือความโหดร้ายแห่งสงครามที่ “ท่านผู้นำ” ได้นำชาตินำผู้คนไปตาย และสุดท้ายต้องเผชิญกับความหิวโหยระหว่างและหลังสงครามโลกแบบที่ชาวเยอรมันไม่เคยได้พบได้เจอตลอดประวัติศาสตร์ของพวกเขา

กว่าจะรู้ก็สายไปแล้วว่า “เชื่อผู้นำชาติฉิบหาย ประชาชนล้มตาย”

ชาร์ลี แชปลินค่อยๆ นำผู้ชมไปถึงฉากสุดท้ายที่ทหารเยอรมันเข้าใจผิดว่าช่างตัดผมเป็น “ท่านผู้นำ” เพราะมีหน้าตาคล้ายกันยังกับฝาแฝด เขาถูกนำไปปราศัยต่อหน้าทหารและผู้คนนับแสนนับล้าน ถ่ายทอดออกอากาศไปทั่วประเทศและทั่วโลก จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ฮิตเลอร์ ไม่ใช่ช่างตัดผมชาวยิวที่ขึ้นไปพูด แต่เป็นตัวชาร์ลี แชปลินเองที่เขียนบทเพื่อให้ตัวเองได้พูดสิ่งที่อยากบอกผู้คนทั่วโลก

“ผมไม่ได้ต้องการเป็นจักรพรรดิ์ ไม่ต้องการปกครองหรือพิชิตใครทั้งสิ้น ผมต้องการช่วยเหลือทุกคนถ้าเป็นได้ ไม่ว่ายิว คนต่างศาสนา คนผิวดำหรือผิวขาว เราต่างก็ต้องการช่วยเหลือกันและกัน เราต่างก็ต้องการแบ่งปันความสุขให้กัน ไม่ต้องการสร้างทุกข์ให้กัน เราไม่ต้องการเกลียดชังหรือดูถูกคนอื่น โลกนี้มีที่สำหรับทุกคน โลกใบนี้ยังอุดมสมบูรณ์และมีพอสำหรับทุกคน…”

“ความโลภทำให้วิญญาณมนุษย์เป็นพิษ ทำให้โลกเกลียดชังกัน นำเราเข้าสู่การประหัตประหารและความทุกข์ทรมาน”

“เราได้พัฒนาความเร็วในทุกด้าน แต่เราก็สร้างมันมาเพื่อปิดขังตัวเราเอง เราสร้างเครื่องจักรเพื่อผลิตมากมาย แต่เราก็ยังมีความต้องการแบบไม่เคยพอ ความรู้ทำให้เรากลายเป็นตัวตลก ความฉลาดทำให้เราเป็นคนแข็งกระด้างและขาดเมตตา เราคิดมากเกินไปและรู้สึกน้อยเกินไป แทนที่เราจะแสวงหาเครื่องจักรกล (machinery) เราควรจะแสวงหาความเป็นมนุษย์ (humanity) แทนที่จะแสวงหาความฉลาด เราควรจะแสวงหาความเมตตาและความอ่อนโยน ปราศจากคุณภาพเหล่านี้ ชีวิตจะมีแต่ความรุนแรงและความสูญเสีย…”

เขาบอกกับบรรดาทหารให้ตั้งสติและอย่าได้เดินตามคนที่ไม่มีสติ “อย่ายอมคนที่ไม่เป็นธรรมชาติ มนุษย์เครื่องจักร ที่จิตเป็นเครื่องจักร หัวใจเป็นเครื่องจักร พวกท่านไม่ใช่เครื่องจักร พวกท่านไม่ใช่วัวควาย แต่เป็นคน”

หนังเรื่องนี้ดูให้สนุกก็สนุก ได้หัวเราะและผ่อนคลาย ดูเพื่อเรียนรู้ก็ได้เรียนรู้ และอาจจะเครียดมากกว่าเดิมก็เป็นได้ เพราะแม้แต่วันนี้ เหลียวไปทางไหน ประเทศไหนก็ดูเหมือนไม่เคยขาดคนที่มีอำนาจที่ปรารถนาและหาทางเป็น “เผด็จการผู้ยิ่งใหญ่”
กำลังโหลดความคิดเห็น