ถ้าหากรัฐวิสาหกิจห้าแห่งที่ดำเนินกิจการสาธารณูปโภคสำคัญเกี่ยวกับไฟฟ้าและประปา อันได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การประปานครหลวง (กปน.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ถูกแปรรูปเป็นบริษัทและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีพระราชกฤษฎีกายุบเลิกรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 แล้ว ผลกระทบจะเกิดตามมากับประเทศชาติและประชาชนมากมายหลายประการดังนี้
1. ในเมื่อบริษัทไฟฟ้า ประปา ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ การใช้อำนาจและการดำเนินการของบริษัท ก็ไม่ถูกผูกพันที่จะต้องคำนึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 26 อีกต่อไป
2. ในเมื่อบริษัทไฟฟ้า ประปา ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ก็ไม่มีอำนาจออกกฎหมายเวนคืนที่ดินของราษฎร เพื่อนำมาใช้ในการขยายกิจการและการให้บริการของตนอันเป็นสาธารณูปโภค ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 46 ได้ ดังนั้น เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว บริษัทก็ต้องซื้อเอาในราคาแพง อันจะส่งผลกระทบไปถึงราคาค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งต้องแพงขึ้นมากอย่างแน่นอน
3. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ การดำเนินโครงการหรือกิจการของบริษัทไฟฟ้า ประปา ซึ่งแปรรูปไปเป็นของเอกชนแล้ว ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ก็ยากที่ประชาชน รัฐ หรือชุมชนจะไปยับยั้งหรือตรวจสอบควบคุมได้ เพราะบริษัทหมดพันธะ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 56 ไปแล้ว
4. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ บริษัทไฟฟ้า ประปา ก็พ้นจากความผูกพันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 58 ที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะในครอบครัวของตนแก่ประชาชนอีกต่อไป
5. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ บริษัทไฟฟ้า ประปา ก็พ้นจากความผูกพันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 59 ที่จะต้องให้ข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลแก่ประชาชน ก่อนการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชุมชนและของประชาชน
6. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ บริษัทไฟฟ้า ประปา ก็พ้นจากความผูกพันตามรัฐธรรมนูญ
7. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ผู้บริหารและบรรดาลูกจ้างของบริษัทไฟฟ้า ประปา ก็พ้นจากสถานภาพการเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และพ้นจากหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ประชาชน
8. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ บริษัทไฟฟ้า ประปา ก็ไม่ใช่เครื่องมือหรือกลไกของรัฐ ซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการในท้องถิ่นต่างๆ ให้ทั่วถึง และเท่าเทียมกันทั่วประเทศตามรัฐธรรมนูญมาตรา 78 เพราะรัฐไม่ใช่เจ้าของกิจการไฟฟ้าและประปาอีกต่อไป
9. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ผู้บริหารและบรรดาลูกจ้างของบริษัทไฟฟ้า ประปา ทุกคนก็รอดพ้นจากการบังคับใช้ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน ดังนั้น กิจการไฟฟ้า ประปาของประเทศจึงกลายเป็นช่องโหว่ขนาดมหึมาที่นักการเมือง นายทุน และนักเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ สามารถเข้าไปโกงกินกันอย่างสบายและเต็มปากเต็มคำ โดยที่อำนาจรัฐและกฎหมายของบ้านเมืองไม่สามารถเอื้อมมือเข้าไปจัดการได้
10. ในเมื่อบริษัทไฟฟ้า ประปา ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศและเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจอยู่แต่เดิม ก็จะถูกแปลงสภาพและลดฐานะลงไปเป็น "พลเมืองชั้นสอง เพียงเพราะไม่มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซ้ำยังจะมีฐานะคล้ายๆ "กึ่งลูกค้ากึ่งทาส" ของบริษัทไฟฟ้า ประปา
11. กิจการไฟฟ้า ประปาที่แปรรูปและถูกผูกขาดโดยบริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากจะทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะผู้ใช้น้ำใช้ไฟรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยต้องแบกภาระมากขึ้นแล้ว บรรดาหน่วยราชการและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งต้องนำเงินงบประมาณแผ่นดินอันมาจากภาษีอากรของประชาชน มาชำระเป็นค่าน้ำ ค่าไฟเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนผู้ใช้น้ำรายใหญ่ โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งสภาอุตสาหกรรมได้ประกาศสนับสนุนรัฐบาลในการแปรรูปไฟฟ้าและประปานั้น อาจไม่รู้ตัวว่า ภาคอุตสาหกรรมและผู้ใช้น้ำใช้ไฟรายใหญ่ๆ นั่นแหละ ที่จะต้องได้รับผลกระทบจากการแปรรูปกิจการไฟฟ้า ประปาอย่างรุนแรงชนิดที่คาดไม่ถึงทีเดียว
12. การจัดจ่ายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา เพื่อการสาธารณูปโภค การกุศล สวัสดิการสงเคราะห์ การพัฒนาสาธารณูปโภคในพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งการจัดกระแสไฟฟ้า ประปา ให้แก่ประชาชนและชุมชนต่างๆ โดยไม่คิดมูลค่า หรือโดยที่รัฐบาลต้องแบกรับภาระค่าน้ำ ค่าไฟแทน ในส่วนนี้จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนทำให้ถึงจุดวิกฤตได้ในอนาคต เพราะบริษัทไฟฟ้า ประปา ในตลาดหลักทรัพย์ย่อมดำเนินกิจการของตนในเป้าหมายและพื้นที่ที่จะทำให้ได้กำไรเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นราคาและเพิ่มเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
13. ในเมื่อบริษัทไฟฟ้า ประปา ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ทรัพย์สินของบริษัท รวมทั้งกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ก็ถือว่าไม่ใช่ ของหลวง อีกต่อไป ความเกรงกลัวและความเกรงใจของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดามิจฉาชีพและคนยากคนจนที่จะไม่แตะต้อง ของหลวง จะหมดสิ้นไป การโจรกรรมทรัพย์สิน รวมทั้งกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาจะปะทุขึ้นทั่วทุกหัวระแหง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าประชาชนพากันโกรธแค้นบริษัทไฟฟ้า ประปา ที่เอาแต่ขึ้นค่าน้ำ ค่าไฟ และภาวะขาดน้ำ ขาดไฟ ซึ่งจะเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลและประชาชนมีรายได้น้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีน้อยอยู่แล้ว คงจะไม่สามารถป้องกันเหตุการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
14. ในยามที่บ้านเมืองประสบกับภาวะความไม่สงบเรียบร้อย เกิดศึกสงคราม การสู้รบ การจลาจล การก่อวินาศกรรม เพลิงไหม้ และ ฯลฯ สถานการณ์จะเลวร้ายลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพราะกิจการไฟฟ้า ประปา ซึ่งเป็นยุทธปัจจัยสำคัญไม่ใช่ของรัฐ แต่เป็นของเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งแน่นอนบริษัทไฟฟ้า ประปา ซึ่งไม่ใช่กลไกของรัฐ แต่เป็นของเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ ย่อมต้องมีนายทุนและนักเก็งกำไรต่างชาติร่วมอยู่ด้วย
15. การนำเอาทรัพย์สินของชาติ ซึ่งสะสมมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ในรูปของแผ่นดินที่ราชพัสดุ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทรัพยากรธรรมชาติ งบประมาณแผ่นดิน ทุน สิทธิประโยชน์ กิจการ เอกสิทธิ์ ยุทธปัจจัยเพื่อความมั่นคง รวมตลอดถึงบรรดาเขื่อนทั้ง 21 แห่ง ซึ่งมีพระปรมาภิไธยและพระนามาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จเจ้าฟ้าทุกพระองค์ประทับอยู่ด้วย สายส่งกระแสไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินส่วนตัวของราษฎรเป็นส่วนใหญ่ และบรรดาคูคลอง แหล่งน้ำดิบที่เป็นเสมือนเส้นเลือดของคนไทยไปแปลงเป็น "หุ้น" และกระจายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีนายทุนและนักเก็งกำไร ซึ่งมีต่างชาติร่วมอยู่ด้วย เพียงหยิบมือเดียวนั้น ถึงแม้จะอ้างว่า ทำตามกฎหมาย แต่กฎหมายที่ว่าคือ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายขายชาติ 1ใน 11 ฉบับ ที่รัฐบาลควรยกเลิกแต่กลับไม่ยอมยกเลิก ทั้งๆ ที่ประเทศไทยได้ชำระหนี้ไอเอ็มเอฟไปหมดแล้ว และถึงแม้จะอ้างว่าเป็นนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา แต่ก็เป็นนโยบายที่จะสร้างความหายนะให้แก่ประเทศชาติและประชาชน เพียงเพื่อจะสร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับนายทุน คนในเครือข่ายของผู้มีอำนาจ และนักเก็งกำไร ทั้งไทยและต่างชาติเพียงหยิบมือเดียวนั้น จะเรียกว่าเป็นการ "ขายชาติเชิงนโยบาย" ก็คงไม่ผิดนัก
1. ในเมื่อบริษัทไฟฟ้า ประปา ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ การใช้อำนาจและการดำเนินการของบริษัท ก็ไม่ถูกผูกพันที่จะต้องคำนึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 26 อีกต่อไป
2. ในเมื่อบริษัทไฟฟ้า ประปา ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ก็ไม่มีอำนาจออกกฎหมายเวนคืนที่ดินของราษฎร เพื่อนำมาใช้ในการขยายกิจการและการให้บริการของตนอันเป็นสาธารณูปโภค ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 46 ได้ ดังนั้น เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว บริษัทก็ต้องซื้อเอาในราคาแพง อันจะส่งผลกระทบไปถึงราคาค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งต้องแพงขึ้นมากอย่างแน่นอน
3. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ การดำเนินโครงการหรือกิจการของบริษัทไฟฟ้า ประปา ซึ่งแปรรูปไปเป็นของเอกชนแล้ว ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ก็ยากที่ประชาชน รัฐ หรือชุมชนจะไปยับยั้งหรือตรวจสอบควบคุมได้ เพราะบริษัทหมดพันธะ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 56 ไปแล้ว
4. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ บริษัทไฟฟ้า ประปา ก็พ้นจากความผูกพันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 58 ที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะในครอบครัวของตนแก่ประชาชนอีกต่อไป
5. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ บริษัทไฟฟ้า ประปา ก็พ้นจากความผูกพันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 59 ที่จะต้องให้ข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลแก่ประชาชน ก่อนการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชุมชนและของประชาชน
6. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ บริษัทไฟฟ้า ประปา ก็พ้นจากความผูกพันตามรัฐธรรมนูญ
7. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ผู้บริหารและบรรดาลูกจ้างของบริษัทไฟฟ้า ประปา ก็พ้นจากสถานภาพการเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และพ้นจากหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ประชาชน
8. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ บริษัทไฟฟ้า ประปา ก็ไม่ใช่เครื่องมือหรือกลไกของรัฐ ซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการในท้องถิ่นต่างๆ ให้ทั่วถึง และเท่าเทียมกันทั่วประเทศตามรัฐธรรมนูญมาตรา 78 เพราะรัฐไม่ใช่เจ้าของกิจการไฟฟ้าและประปาอีกต่อไป
9. ในเมื่อไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ผู้บริหารและบรรดาลูกจ้างของบริษัทไฟฟ้า ประปา ทุกคนก็รอดพ้นจากการบังคับใช้ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน ดังนั้น กิจการไฟฟ้า ประปาของประเทศจึงกลายเป็นช่องโหว่ขนาดมหึมาที่นักการเมือง นายทุน และนักเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ สามารถเข้าไปโกงกินกันอย่างสบายและเต็มปากเต็มคำ โดยที่อำนาจรัฐและกฎหมายของบ้านเมืองไม่สามารถเอื้อมมือเข้าไปจัดการได้
10. ในเมื่อบริษัทไฟฟ้า ประปา ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศและเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจอยู่แต่เดิม ก็จะถูกแปลงสภาพและลดฐานะลงไปเป็น "พลเมืองชั้นสอง เพียงเพราะไม่มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซ้ำยังจะมีฐานะคล้ายๆ "กึ่งลูกค้ากึ่งทาส" ของบริษัทไฟฟ้า ประปา
11. กิจการไฟฟ้า ประปาที่แปรรูปและถูกผูกขาดโดยบริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากจะทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะผู้ใช้น้ำใช้ไฟรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยต้องแบกภาระมากขึ้นแล้ว บรรดาหน่วยราชการและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งต้องนำเงินงบประมาณแผ่นดินอันมาจากภาษีอากรของประชาชน มาชำระเป็นค่าน้ำ ค่าไฟเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนผู้ใช้น้ำรายใหญ่ โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งสภาอุตสาหกรรมได้ประกาศสนับสนุนรัฐบาลในการแปรรูปไฟฟ้าและประปานั้น อาจไม่รู้ตัวว่า ภาคอุตสาหกรรมและผู้ใช้น้ำใช้ไฟรายใหญ่ๆ นั่นแหละ ที่จะต้องได้รับผลกระทบจากการแปรรูปกิจการไฟฟ้า ประปาอย่างรุนแรงชนิดที่คาดไม่ถึงทีเดียว
12. การจัดจ่ายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา เพื่อการสาธารณูปโภค การกุศล สวัสดิการสงเคราะห์ การพัฒนาสาธารณูปโภคในพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งการจัดกระแสไฟฟ้า ประปา ให้แก่ประชาชนและชุมชนต่างๆ โดยไม่คิดมูลค่า หรือโดยที่รัฐบาลต้องแบกรับภาระค่าน้ำ ค่าไฟแทน ในส่วนนี้จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนทำให้ถึงจุดวิกฤตได้ในอนาคต เพราะบริษัทไฟฟ้า ประปา ในตลาดหลักทรัพย์ย่อมดำเนินกิจการของตนในเป้าหมายและพื้นที่ที่จะทำให้ได้กำไรเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นราคาและเพิ่มเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
13. ในเมื่อบริษัทไฟฟ้า ประปา ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ทรัพย์สินของบริษัท รวมทั้งกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ก็ถือว่าไม่ใช่ ของหลวง อีกต่อไป ความเกรงกลัวและความเกรงใจของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดามิจฉาชีพและคนยากคนจนที่จะไม่แตะต้อง ของหลวง จะหมดสิ้นไป การโจรกรรมทรัพย์สิน รวมทั้งกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาจะปะทุขึ้นทั่วทุกหัวระแหง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าประชาชนพากันโกรธแค้นบริษัทไฟฟ้า ประปา ที่เอาแต่ขึ้นค่าน้ำ ค่าไฟ และภาวะขาดน้ำ ขาดไฟ ซึ่งจะเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลและประชาชนมีรายได้น้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีน้อยอยู่แล้ว คงจะไม่สามารถป้องกันเหตุการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
14. ในยามที่บ้านเมืองประสบกับภาวะความไม่สงบเรียบร้อย เกิดศึกสงคราม การสู้รบ การจลาจล การก่อวินาศกรรม เพลิงไหม้ และ ฯลฯ สถานการณ์จะเลวร้ายลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพราะกิจการไฟฟ้า ประปา ซึ่งเป็นยุทธปัจจัยสำคัญไม่ใช่ของรัฐ แต่เป็นของเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งแน่นอนบริษัทไฟฟ้า ประปา ซึ่งไม่ใช่กลไกของรัฐ แต่เป็นของเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ ย่อมต้องมีนายทุนและนักเก็งกำไรต่างชาติร่วมอยู่ด้วย
15. การนำเอาทรัพย์สินของชาติ ซึ่งสะสมมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ในรูปของแผ่นดินที่ราชพัสดุ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทรัพยากรธรรมชาติ งบประมาณแผ่นดิน ทุน สิทธิประโยชน์ กิจการ เอกสิทธิ์ ยุทธปัจจัยเพื่อความมั่นคง รวมตลอดถึงบรรดาเขื่อนทั้ง 21 แห่ง ซึ่งมีพระปรมาภิไธยและพระนามาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จเจ้าฟ้าทุกพระองค์ประทับอยู่ด้วย สายส่งกระแสไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินส่วนตัวของราษฎรเป็นส่วนใหญ่ และบรรดาคูคลอง แหล่งน้ำดิบที่เป็นเสมือนเส้นเลือดของคนไทยไปแปลงเป็น "หุ้น" และกระจายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีนายทุนและนักเก็งกำไร ซึ่งมีต่างชาติร่วมอยู่ด้วย เพียงหยิบมือเดียวนั้น ถึงแม้จะอ้างว่า ทำตามกฎหมาย แต่กฎหมายที่ว่าคือ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายขายชาติ 1ใน 11 ฉบับ ที่รัฐบาลควรยกเลิกแต่กลับไม่ยอมยกเลิก ทั้งๆ ที่ประเทศไทยได้ชำระหนี้ไอเอ็มเอฟไปหมดแล้ว และถึงแม้จะอ้างว่าเป็นนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา แต่ก็เป็นนโยบายที่จะสร้างความหายนะให้แก่ประเทศชาติและประชาชน เพียงเพื่อจะสร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับนายทุน คนในเครือข่ายของผู้มีอำนาจ และนักเก็งกำไร ทั้งไทยและต่างชาติเพียงหยิบมือเดียวนั้น จะเรียกว่าเป็นการ "ขายชาติเชิงนโยบาย" ก็คงไม่ผิดนัก