วันวิสาขบูชา องค์การสหประชาชาติ (United Nation หรือ UN) โดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization หรือ UNESCO ได้กำหนดให้เป็นวันสำคัญของโลก เพราะเป็นวันสำคัญแห่งการเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก
วันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พุทธศาสนิกชนทั่วโลก ได้่แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณของโลก และเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยมานานนับหลายร้อยปี พระมหากษัตริย์ รัฐบาลและประชาชนให้ความสำคัญถือเป็นวันหยุดทางราชการ เพื่อให้พี่น้องพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้น้อมรำลึกบูชาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันวิสาขบูชา ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เป็นความมหัศจรรย์ 2 นัย
นัยที่ 1 พระพุทธเจ้ามีนามเดิมว่า สิทธัตถะ เป็นพระโอรสในพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ศากยวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางสิริมหามายา พระธิดาในพระเจ้าอัญชนะ กษัตริย์โกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ ประสูติเมื่อวันศุกร์ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ เวลาใกล้เที่ยง ใต้ต้นไม้รังหรือสาละแห่งลุมพินีวัน ก่อนพุทธศักราช 80 ปี
บุคคลผู้ซึ่งจะอุบัติขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่มวลโลก ย่อมต้องมีอภินิหารเป็นธรรมดา เช่น ขณะประสูติมีเทวดามาคอยรับ พอประสูติแล้ว ทรงดำเนินไปได้ 7 ก้าว ขณะที่ทรงดำเนินไปได้ 7 ก้าว ก็ทรงหยุดอยู่เพียงเท่านั้น แล้วทรงเปล่งอาสภิวาจา คือประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลก ว่า
"อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ เชฏโฐ เสฏโฐหะมัสมิ
อะยะมันติมา เม ชาติ นัตถิทานี ปุนัพภะโว"
แปลความว่า "ในโลกนี้เราเป็นหนึ่ง เราเป็นยอด เราเป็นเลิศประเสริฐที่สุด การเกิดครั้งนี้ของเรา เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปอีกไม่มีสำหรับเรา"
การตรัสรู้ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสด็จออกบวชเมื่อพระชนมายุ 29 ชันษา ได้ละทิ้งราชสมบัติกามสุขทางโลกเพื่อแสวงหาโมกขธรรมเพื่อความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดและพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ได้ไปศึกษายังสำนักของอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุททกดาบส รวมบุตรมหาชนในสมัยนั้นถือกันว่าเป็นคณาจารย์ผู้มีความรู้อันยอดเยี่ยมในสมัยนั้น ทรงใช้เวลาไม่นานก็ได้สำเร็จ สมาบัติ 8 คือรูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4
ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางที่จะตรัสรู้้ได้ จึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการบำเพ็ญเพียรทรมานตนต่างๆ อันยากที่ใครๆ จะทำได้ เช่น กดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (ฟัน) ทรงผ่อนกลั้นลมอัสสาสะ ปัสสาสะ คือกลั้นลมหายใจ ทรงอดอาหารเสวยแต่วันละน้อยๆ จนพระวรกายเหี่ยวแห้ง ทรงลูบพระวรกายเส้นพระโลมาก็ร่วงหลุด
กระทั่งทรงเห็นว่าการกระทำทรมานกายอย่างนี้ (อัตตะกิละมะถานุโยค) ไม่ใช่ทางตรัสรู้
พระองค์จึงกลับมาเสวยอาหารดังเดิมและทรงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิตต่อไป ที่ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม ในวันตรัสรู้ พระองค์ได้ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ ควงไม้พระศรีมหาโพธิ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก แล้วทรงอธิษฐานพระทัย (จาตุรงคมหาปณิธาน) ว่า "จักไม่ลุกขึ้นจากที่นี้ตราบใด ที่ยังไม่ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ แม้ว่าเนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไปจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกก็ตามที"
ในคืนขึ้น 15 ค่ำ วันเพ็ญเดือน 6 ขณะทรงบำเพ็ญเพียรทางจิต มารคือกิเลส ได้เกิดขึ้นท่องเที่ยวอยู่ในพระทัยของพระองค์ นำให้ทรงหวนระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งเสวยกามสุขอยู่ในราชสมบัติซึ่งน่าอภิรมย์ยิ่งนัก พระองค์จึงทรงหักห้ามพระทัยและต่อสู้กับกิเลสมารเหล่านั้นด้วย พระบารมี 10 ทัศ คือ ทาน, ศีล, เนกขัมมะ, ปัญญา, วิริยะ,ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน, เมตตา, อุเบกขา ที่เคยทรงบำเพ็ญมาในอดีตชาติและในปัจจุบันชาติ พระองค์ทรงไม่หวั่นไหวกับอุปสรรค ก็ทรงสามารถผจญกิเลสมารอันเกิดขึ้นท่องเที่ยวอยู่ใต้พระทัยให้ปราชัยได้ พระองค์เจริญสมาธิภาวนาทำจิตใจให้แน่วแน่ปราศจากอุปกิเลส ยังญาณให้เกิดขึ้นอันเป็นปัญญาขั้นสูงให้เกิดขึ้นเป็นระยะ
ในปฐมยาม ทรงบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติได้ เป็นเหตุให้ทรงหยั่งรู้อัตภาพขันธสังขารว่าเป็นเพียงสภาวะอย่างหนึ่งเท่านั้นรวมกันเข้าเป็นขันธ์ เป็นผลให้ทรงกำจัดความหลงในขันธ์ (นามรูป) อันเป็นเหตุรักและชังเสียได้
ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) ทรงมองเห็นการจุติและการเกิดของมวลสัตว์ได้ เป็นเหตุให้ทรงหยั่งรู้ว่าขันธ์ (รูปนาม) เป็นไปตามอำนาจแห่งธรรมดาเป็นสัตว์บุคคลในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง แล้วแตกสลายไปในที่สุดเหมือนกันหมด จะมีเลว ดี ทุกข์ สุข ก็เพราะกรรมที่ทำเอาไว้ เป็นผลให้ทรงกำจัดความหลงในคติแห่งขันธ์ อันเป็นเหตุสำคัญผิดด้วยประการต่างๆ เสียได้
ในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ ปัญญารู้เป็นเหตุสิ้นไปแห่งอาสวะเครื่องเศร้าหมองอันหมกหมมอยู่ในจิตสันดาน เป็นเหตุให้ทรงหยั่งรู้ขันธ์ พร้อมทั้งอาการโดยความเป็นเหตุเป็นผลสืบต่อเนื่องติดต่อกันไป เหมือนลูกโซ่ ซึ่งคล้องเกี่ยวกันเป็นสายทรงเรียกว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ซึ่งก็ทรงรู้อริยสัจ 4 เป็นต้น เป็นผลให้พระองค์ทรงรู้และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างจนสามารถบรรลุถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิงได้สมพระมโนปณิธาน ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 6 ปี ทรงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ 35 ชันษา
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เองชอบได้ด้วยพระองค์เอง "อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก"พระองค์จึงมีนามพิเศษว่า อรหํ (อะระหัง) และสัมมาสัมพุทโธ ที่ได้พระนามว่า อรหํ เพราะพระองค์เป็นผู้ควรและเป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส ที่ได้พระนามว่า สัมมาสัมพุทโธ เพราะพระองค์ตรัสรู้ได้ตามลำพังพระองค์เอง
จากนั้นพระองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจออกสั่งสอนเผยแผ่สัจธรรม พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 พระโกณฑัญญะ, พระวัปปะ, พระมหานามะ, พระภัททิยะ, และอัสสชิ ได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นต้น
พระพุทธองค์ปรินิพพาน หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงเผยแผ่สัจธรรมคำสอนอยู่ 45 พรรษา ทำให้พุทธสาวกบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน, พระสกทาคามี, พระอนาคามี, และพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก จนสามารถตั้งพระศาสนาพุทธ (พระธรรมวินัย) ลงในประเทศอินเดียเป็นปึกแผ่น และพระพุทธองค์ได้ตรัสกับเหล่าภิกษุทั้งหลายเป็นครั้งสุดท้ายว่า "หันททานิ ภิกขะเว อามันตะยามิโว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ" แปลความว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งปวงล้วนมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้บริบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด" และแล้วพระพุทธองค์ทรงเข้าปรินิพพาน เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ วันเพ็ญเดือน 6 ณ ตำบลสาลวโนทยาน นครกุสินารา รัฐมัลละ
นัยที่ 2 การตีความตามนัยปรมัตถธรรม การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เกิดขึ้นพร้อมกันในวัน เวลานาที เดือน ปี เดียวกัน การประสูติ (การเกิดขึ้นของสภาวะพระพุทธเจ้า) ตรัสรู้ (การรู้แจ้งในขันธ์ 5) และปรินิพพาน (การดับสิ้นกิเลสโดยรอบ) หลังจากบำเพ็ญเพียรมาแล้ว 6 ปี คือเกิดขึ้นพร้อมกันในวันใกล้รุ่งขึ้น 15 ค่ำ วันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธกาล 45 ปี สภาวะพระพุทธเจ้ามีพระชนมายุเพียง 45 พรรษา ส่วนอีก 35 พรรษา เป็นของเจ้าชายสิทธัตถะพระโพธิสัตว์
ทรงปรารภการบูชา พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "บุคคลผู้ทำการสักการบูชาตถาคต (พระพุทธเจ้าทรงเรียกพระองค์เองว่าตถาคต) ด้วยอามิสบูชา หาชื่อว่าเป็นการบูชาอย่างยิ่งและแท้จริงไม่ หากแต่บุคคลใดศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนนี้แล จึงเชื่อว่าเป็นการบูชาตถาคตอย่างแท้จริง
ฉะนั้น การบูชาอย่างแท้จริงของชาวพุทธศาสนิกชน ในวันวิสาขบูชา ก็คือการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้รู้แจ้งแห่งตน ตามความเป็นจริง คือให้รู้แจ้งจริงว่าขันธ์ 5 ย่อลงเหลือรูปกับนาม กายกับจิต (ความคิดปรุงแต่งที่เป็นกุศล อกุศล และกลางๆ) และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเราได้แก่ รูป, เสียง, กลิ่น, ลิ้น, รส, สัมผัส และธรรมารมณ์ วัตถุสิ่งของทั้งมวลตกอยู่ในอำนาจกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง)ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน)
รูป (กาย) นาม (จิต, เจตสิก)

ตัว t time คือเวลา, สิ่งปรุงแต่ง คือนิวรณ์ 5 และความคิดปรุงแต่งเป็นกุศล อกุศล และเฉยๆ สังขารทั้งปวงรูปและนามเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด ไม่มีตัวตนไร้แก่นสาร "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งมวลนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" เมื่อไม่ติดยึดในสังขารทั้งปวงจิตก็จะผ่องใส บริสุทธิ์ผุดผ่องดังเดิม จิตเป็นประภัสสร
เมื่อรู้แจ้งจริงตามความเป็นจริงอย่างนี้ จึงหน่ายในสังขารทั้งปวง และหาทางอิสระจากสังขารทั้งปวง (สิ่งปรุงแต่งทั้งปวง) หมายความว่าอยู่กับสังขารแต่ไม่ยึดติดในสังขาร ประดุจน้ำบนใบบัว สังขารทั้งปวงนั่นไม่เที่ยง ร้อยเรียงแปรปรวนทุกขณะ สังขารทั้งปวงเป็นทุกขะ ธรรมะทั้งปวง (อสังขตธรรมและสังขตธรรม) เป็นอนัตตา แจ้งจริงจึงหน่ายในสังขาร ละอุปาทานได้หมดสิ้น จิตสิ้นราคิน (ราคะ) จึงวางเฉย แจ้งจริงแท้แน่เอยเปิดเผยปฏิจจสมุปบาท, อริยสัจ 4, อิทัปปัจจยตา"
ชาวพุทธทั้งหลายจึงสามารถปฏิบัติถวายเป็นพระพุทธบูชาวันหนึ่งได้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง เพียงหายใจเข้าออกทุกครั้ง ให้มีสติสัมปชัญญะให้เห็นรูปนาม ให้รู้แจ้งเห็นเป็นไตรลักษณ์อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด รู้แจ้งว่าสังขารทั้งปวงหาแก่นสารไม่ได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติบูชาอย่างแท้จริงและได้ประโยชน์เกิดปัญญาอันยิ่งรู้เท่าทัน เป็นมรรค เป็นผล เป็นสันติสุข อย่างแท้จริง
ผู้สนใจไปปฏิบัติธรรมเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงได้ที่ท่านปริญญาโณภิกขุ วัดสันติธรรมาราม ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน ซอย 23 บุคคโล เขตธนบุรี กทม. 10600 โทร. 0-2878-2110
วันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พุทธศาสนิกชนทั่วโลก ได้่แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณของโลก และเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยมานานนับหลายร้อยปี พระมหากษัตริย์ รัฐบาลและประชาชนให้ความสำคัญถือเป็นวันหยุดทางราชการ เพื่อให้พี่น้องพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้น้อมรำลึกบูชาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันวิสาขบูชา ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เป็นความมหัศจรรย์ 2 นัย
นัยที่ 1 พระพุทธเจ้ามีนามเดิมว่า สิทธัตถะ เป็นพระโอรสในพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ศากยวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางสิริมหามายา พระธิดาในพระเจ้าอัญชนะ กษัตริย์โกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ ประสูติเมื่อวันศุกร์ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ เวลาใกล้เที่ยง ใต้ต้นไม้รังหรือสาละแห่งลุมพินีวัน ก่อนพุทธศักราช 80 ปี
บุคคลผู้ซึ่งจะอุบัติขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่มวลโลก ย่อมต้องมีอภินิหารเป็นธรรมดา เช่น ขณะประสูติมีเทวดามาคอยรับ พอประสูติแล้ว ทรงดำเนินไปได้ 7 ก้าว ขณะที่ทรงดำเนินไปได้ 7 ก้าว ก็ทรงหยุดอยู่เพียงเท่านั้น แล้วทรงเปล่งอาสภิวาจา คือประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลก ว่า
"อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ เชฏโฐ เสฏโฐหะมัสมิ
อะยะมันติมา เม ชาติ นัตถิทานี ปุนัพภะโว"
แปลความว่า "ในโลกนี้เราเป็นหนึ่ง เราเป็นยอด เราเป็นเลิศประเสริฐที่สุด การเกิดครั้งนี้ของเรา เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปอีกไม่มีสำหรับเรา"
การตรัสรู้ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสด็จออกบวชเมื่อพระชนมายุ 29 ชันษา ได้ละทิ้งราชสมบัติกามสุขทางโลกเพื่อแสวงหาโมกขธรรมเพื่อความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดและพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ได้ไปศึกษายังสำนักของอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุททกดาบส รวมบุตรมหาชนในสมัยนั้นถือกันว่าเป็นคณาจารย์ผู้มีความรู้อันยอดเยี่ยมในสมัยนั้น ทรงใช้เวลาไม่นานก็ได้สำเร็จ สมาบัติ 8 คือรูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4
ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางที่จะตรัสรู้้ได้ จึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการบำเพ็ญเพียรทรมานตนต่างๆ อันยากที่ใครๆ จะทำได้ เช่น กดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (ฟัน) ทรงผ่อนกลั้นลมอัสสาสะ ปัสสาสะ คือกลั้นลมหายใจ ทรงอดอาหารเสวยแต่วันละน้อยๆ จนพระวรกายเหี่ยวแห้ง ทรงลูบพระวรกายเส้นพระโลมาก็ร่วงหลุด
กระทั่งทรงเห็นว่าการกระทำทรมานกายอย่างนี้ (อัตตะกิละมะถานุโยค) ไม่ใช่ทางตรัสรู้
พระองค์จึงกลับมาเสวยอาหารดังเดิมและทรงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิตต่อไป ที่ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม ในวันตรัสรู้ พระองค์ได้ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ ควงไม้พระศรีมหาโพธิ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก แล้วทรงอธิษฐานพระทัย (จาตุรงคมหาปณิธาน) ว่า "จักไม่ลุกขึ้นจากที่นี้ตราบใด ที่ยังไม่ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ แม้ว่าเนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไปจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกก็ตามที"
ในคืนขึ้น 15 ค่ำ วันเพ็ญเดือน 6 ขณะทรงบำเพ็ญเพียรทางจิต มารคือกิเลส ได้เกิดขึ้นท่องเที่ยวอยู่ในพระทัยของพระองค์ นำให้ทรงหวนระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งเสวยกามสุขอยู่ในราชสมบัติซึ่งน่าอภิรมย์ยิ่งนัก พระองค์จึงทรงหักห้ามพระทัยและต่อสู้กับกิเลสมารเหล่านั้นด้วย พระบารมี 10 ทัศ คือ ทาน, ศีล, เนกขัมมะ, ปัญญา, วิริยะ,ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน, เมตตา, อุเบกขา ที่เคยทรงบำเพ็ญมาในอดีตชาติและในปัจจุบันชาติ พระองค์ทรงไม่หวั่นไหวกับอุปสรรค ก็ทรงสามารถผจญกิเลสมารอันเกิดขึ้นท่องเที่ยวอยู่ใต้พระทัยให้ปราชัยได้ พระองค์เจริญสมาธิภาวนาทำจิตใจให้แน่วแน่ปราศจากอุปกิเลส ยังญาณให้เกิดขึ้นอันเป็นปัญญาขั้นสูงให้เกิดขึ้นเป็นระยะ
ในปฐมยาม ทรงบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติได้ เป็นเหตุให้ทรงหยั่งรู้อัตภาพขันธสังขารว่าเป็นเพียงสภาวะอย่างหนึ่งเท่านั้นรวมกันเข้าเป็นขันธ์ เป็นผลให้ทรงกำจัดความหลงในขันธ์ (นามรูป) อันเป็นเหตุรักและชังเสียได้
ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) ทรงมองเห็นการจุติและการเกิดของมวลสัตว์ได้ เป็นเหตุให้ทรงหยั่งรู้ว่าขันธ์ (รูปนาม) เป็นไปตามอำนาจแห่งธรรมดาเป็นสัตว์บุคคลในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง แล้วแตกสลายไปในที่สุดเหมือนกันหมด จะมีเลว ดี ทุกข์ สุข ก็เพราะกรรมที่ทำเอาไว้ เป็นผลให้ทรงกำจัดความหลงในคติแห่งขันธ์ อันเป็นเหตุสำคัญผิดด้วยประการต่างๆ เสียได้
ในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ ปัญญารู้เป็นเหตุสิ้นไปแห่งอาสวะเครื่องเศร้าหมองอันหมกหมมอยู่ในจิตสันดาน เป็นเหตุให้ทรงหยั่งรู้ขันธ์ พร้อมทั้งอาการโดยความเป็นเหตุเป็นผลสืบต่อเนื่องติดต่อกันไป เหมือนลูกโซ่ ซึ่งคล้องเกี่ยวกันเป็นสายทรงเรียกว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ซึ่งก็ทรงรู้อริยสัจ 4 เป็นต้น เป็นผลให้พระองค์ทรงรู้และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างจนสามารถบรรลุถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิงได้สมพระมโนปณิธาน ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 6 ปี ทรงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ 35 ชันษา
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เองชอบได้ด้วยพระองค์เอง "อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก"พระองค์จึงมีนามพิเศษว่า อรหํ (อะระหัง) และสัมมาสัมพุทโธ ที่ได้พระนามว่า อรหํ เพราะพระองค์เป็นผู้ควรและเป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส ที่ได้พระนามว่า สัมมาสัมพุทโธ เพราะพระองค์ตรัสรู้ได้ตามลำพังพระองค์เอง
จากนั้นพระองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจออกสั่งสอนเผยแผ่สัจธรรม พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 พระโกณฑัญญะ, พระวัปปะ, พระมหานามะ, พระภัททิยะ, และอัสสชิ ได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นต้น
พระพุทธองค์ปรินิพพาน หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงเผยแผ่สัจธรรมคำสอนอยู่ 45 พรรษา ทำให้พุทธสาวกบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน, พระสกทาคามี, พระอนาคามี, และพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก จนสามารถตั้งพระศาสนาพุทธ (พระธรรมวินัย) ลงในประเทศอินเดียเป็นปึกแผ่น และพระพุทธองค์ได้ตรัสกับเหล่าภิกษุทั้งหลายเป็นครั้งสุดท้ายว่า "หันททานิ ภิกขะเว อามันตะยามิโว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ" แปลความว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งปวงล้วนมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้บริบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด" และแล้วพระพุทธองค์ทรงเข้าปรินิพพาน เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ วันเพ็ญเดือน 6 ณ ตำบลสาลวโนทยาน นครกุสินารา รัฐมัลละ
นัยที่ 2 การตีความตามนัยปรมัตถธรรม การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เกิดขึ้นพร้อมกันในวัน เวลานาที เดือน ปี เดียวกัน การประสูติ (การเกิดขึ้นของสภาวะพระพุทธเจ้า) ตรัสรู้ (การรู้แจ้งในขันธ์ 5) และปรินิพพาน (การดับสิ้นกิเลสโดยรอบ) หลังจากบำเพ็ญเพียรมาแล้ว 6 ปี คือเกิดขึ้นพร้อมกันในวันใกล้รุ่งขึ้น 15 ค่ำ วันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธกาล 45 ปี สภาวะพระพุทธเจ้ามีพระชนมายุเพียง 45 พรรษา ส่วนอีก 35 พรรษา เป็นของเจ้าชายสิทธัตถะพระโพธิสัตว์
ทรงปรารภการบูชา พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "บุคคลผู้ทำการสักการบูชาตถาคต (พระพุทธเจ้าทรงเรียกพระองค์เองว่าตถาคต) ด้วยอามิสบูชา หาชื่อว่าเป็นการบูชาอย่างยิ่งและแท้จริงไม่ หากแต่บุคคลใดศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนนี้แล จึงเชื่อว่าเป็นการบูชาตถาคตอย่างแท้จริง
ฉะนั้น การบูชาอย่างแท้จริงของชาวพุทธศาสนิกชน ในวันวิสาขบูชา ก็คือการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้รู้แจ้งแห่งตน ตามความเป็นจริง คือให้รู้แจ้งจริงว่าขันธ์ 5 ย่อลงเหลือรูปกับนาม กายกับจิต (ความคิดปรุงแต่งที่เป็นกุศล อกุศล และกลางๆ) และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเราได้แก่ รูป, เสียง, กลิ่น, ลิ้น, รส, สัมผัส และธรรมารมณ์ วัตถุสิ่งของทั้งมวลตกอยู่ในอำนาจกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง)ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน)
รูป (กาย) นาม (จิต, เจตสิก)
ตัว t time คือเวลา, สิ่งปรุงแต่ง คือนิวรณ์ 5 และความคิดปรุงแต่งเป็นกุศล อกุศล และเฉยๆ สังขารทั้งปวงรูปและนามเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด ไม่มีตัวตนไร้แก่นสาร "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งมวลนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" เมื่อไม่ติดยึดในสังขารทั้งปวงจิตก็จะผ่องใส บริสุทธิ์ผุดผ่องดังเดิม จิตเป็นประภัสสร
เมื่อรู้แจ้งจริงตามความเป็นจริงอย่างนี้ จึงหน่ายในสังขารทั้งปวง และหาทางอิสระจากสังขารทั้งปวง (สิ่งปรุงแต่งทั้งปวง) หมายความว่าอยู่กับสังขารแต่ไม่ยึดติดในสังขาร ประดุจน้ำบนใบบัว สังขารทั้งปวงนั่นไม่เที่ยง ร้อยเรียงแปรปรวนทุกขณะ สังขารทั้งปวงเป็นทุกขะ ธรรมะทั้งปวง (อสังขตธรรมและสังขตธรรม) เป็นอนัตตา แจ้งจริงจึงหน่ายในสังขาร ละอุปาทานได้หมดสิ้น จิตสิ้นราคิน (ราคะ) จึงวางเฉย แจ้งจริงแท้แน่เอยเปิดเผยปฏิจจสมุปบาท, อริยสัจ 4, อิทัปปัจจยตา"
ชาวพุทธทั้งหลายจึงสามารถปฏิบัติถวายเป็นพระพุทธบูชาวันหนึ่งได้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง เพียงหายใจเข้าออกทุกครั้ง ให้มีสติสัมปชัญญะให้เห็นรูปนาม ให้รู้แจ้งเห็นเป็นไตรลักษณ์อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด รู้แจ้งว่าสังขารทั้งปวงหาแก่นสารไม่ได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติบูชาอย่างแท้จริงและได้ประโยชน์เกิดปัญญาอันยิ่งรู้เท่าทัน เป็นมรรค เป็นผล เป็นสันติสุข อย่างแท้จริง
ผู้สนใจไปปฏิบัติธรรมเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงได้ที่ท่านปริญญาโณภิกขุ วัดสันติธรรมาราม ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน ซอย 23 บุคคโล เขตธนบุรี กทม. 10600 โทร. 0-2878-2110