ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย (Microsoft) คว้า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญดันโครงการ "AI for Work Force" เร่งเสริมสร้างทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้แก่แรงงานไทย วางเป้าอัปสกิลแรงงาน 150,000 คน ทั้งกลุ่มคนที่ยังทำงานและผู้ถูกเลิกจ้าง การันตีเสริมกำลังจากที่ไมโครซอฟท์เคยอัปสกิลไปแล้ว 1.6 ล้านคนก่อนหน้านี้
นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และตลาดใหม่ กล่าวว่าโครงการนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิวัฒนาการของ AI ที่ก้าวข้ามจากการเป็นแค่ผู้ช่วยส่วนตัว (Personal Assistant) สู่การเป็น "AI Agent" ที่สามารถให้เหตุผล (Reason) และดำเนินการ (Take Action) แทนมนุษย์ได้ ซึ่งกำลังเป็นปัจจัยหลักในการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับประเทศ
"ความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์และ กพร. มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างผลกระทบที่กว้างขวาง มากกว่าที่แต่ละฝ่ายทำอยู่เพียงลำพัง โดยไมโครซอฟท์ได้นำหลักสูตรการเรียนการสอนด้าน AI ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงระดับสูง หรือระดับนักพัฒนา จำนวนถึง 280 หลักสูตร เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม DSD Online Training ของ กพร."
ธนวัฒน์ย้ำว่าหลักสูตรเหล่านี้ได้รับการลงทุนและพัฒนาอย่างพิถีพิถัน โดยแปลเนื้อหาเป็นภาษาไทย และมีการจ้างอินฟลูเอนเซอร์ไทยมาอัดเป็นคลิปวิดีโอสั้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของคนไทย ผู้ที่เข้าเรียนอย่างต่อเนื่องจนได้รับใบรับรอง (Certification) จะสามารถนำทักษะไปสร้างอาชีพได้จริง
ปัจจุบันมีคนไทยที่เข้ามาเรียนรู้ทักษะดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มไมโครซอฟท์ไปแล้วกว่า 1.6 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการศึกษา ทั้งครูและนักเรียน สำหรับความร่วมมือครั้งนี้กับ กพร. เป้าหมายใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาอีก 150,000 คน นั้นมุ่งเน้นไปที่กลุ่มแรงงานโดยตรง ทั้งผู้ที่ต้องการอัปสกิล/รีสกิล และผู้ที่ถูกเลิกจ้างหรือตกงาน
*** คนไทยปั้ม AI Agent
ผู้บริหารไมโครซอฟท์มองว่า ปีหน้า (2569) จะเป็นปีของการนำ AI ไปใช้งานในวงกว้าง (Large Scale Adoption) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ AI Agent ซึ่งเป็นวิวัฒนาการที่สำคัญ
"AI Agent คือการที่ AI สามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งเป็นลูกน้องได้ ด้วยความสามารถของเอนจินล่าสุด (GPT-5) ทำให้ AI มีองค์ความรู้เทียบเท่าผู้จบปริญญาเอก (PhD) ในหลายสาขาวิชา เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และคณิตศาสตร์"
นอกจากนี้ การพัฒนา AI สู่รูปแบบ Multi-Model ก็ช่วยขยายขอบเขตการใช้งานอย่างมหาศาล ธนวัฒน์อธิบายว่าการที่ผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลเข้าด้วยข้อความ รูปภาพ หรือเสียง และ AI สามารถตอบกลับเป็นรูปภาพหรือเสียงได้จะทำให้ AI Agent สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ในภาคธุรกิจ เช่น การติดตามคู่แข่ง ผ่านการสร้าง Agent ให้ติดตาม 5 เว็บไซต์คู่แข่ง เพื่อพร้อมตอบคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้ทันที หรือการจัดการกระบวนการภายในองค์กร เช่นการสร้าง Agent เพื่ออ่านใบแจ้งหนี้ (Invoice) เปรียบเทียบกับใบสั่งซื้อ (PO) และสั่งจ่ายเงินโดยอัตโนมัติ หรือส่งให้มนุษย์อนุมัติหากเกินวงเงินที่กำหนด
"การพัฒนาเหล่านี้หมายความว่า AI กำลังจะเข้าไปฝังตัวในทุกกระบวนการทำงาน และจะเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบเดิมไปโดยสิ้นเชิง"
*** ตลาดแรงงานดิจิทัลเดือด
จากการสำรวจของ กพร. พบว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยต้องการบุคลากรที่มีทักษะสูงด้านดิจิทัลเกินกว่า 1 ล้านคน และผู้ประกอบการ 41% ต้องการบุคลากรที่มีทักษะ Generative AI
ผู้บริหารไมโครซอฟท์เชื่อว่าองค์กรที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันจะต้องเร่งสร้างทักษะให้บุคลากร และจัดหาเครื่องมือที่เหมาะสม หากองค์กรไม่จัดหาเครื่องมือที่เหมาะสม และปล่อยให้พนักงานใช้เครื่องมือส่วนตัว อาจนำมาซึ่งความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงข้อมูลรั่วไหล
"สิ่งสำคัญที่สุดที่องค์กรต้องทำคือการจินตนาการกระบวนการใหม่ (Reimagine Process) โดยใช้ AI เข้ามาช่วย แทนที่จะเพียงแค่ทำให้เป็นอัตโนมัติ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่เชยถึงขีดสุด องค์กรควรตั้งโจทย์ว่าจะใช้ AI อย่างไรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและดูแลลูกค้าให้ดีขึ้น"
เทรนด์เหล่านี้ทำให้ไมโครซอฟท์เร่งร่วมมือกับภาครัฐ และหน่วยงานการศึกษา เพื่อให้ความฉลาดของ AI เป็นประชาธิปไตย (Democratized) ที่ทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายขึ้น จุดนี้ผู้บริหารไมโครซอฟท์มองว่าทักษะที่มนุษย์ต้องเสริมคือ Soft Skill และทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่ง กพร. และ ไมโครซอฟท์ ได้วางแผนพัฒนาผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ของ กพร. เพื่อให้มีขีดความสามารถด้าน AI ที่จะกระจายความรู้ไปทั่วทุกภาค
สำหรับพนักงานปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารไมโครซอฟท์แนะนำให้ปฏิบัติ คือการเปิดรับและอย่าไปกลัว เพราะ AI คือผู้ช่วยที่จะมาเสริมให้มนุษย์เก่งขึ้น โดย 3 ทักษะสำคัญที่ต้องสร้างในยุค Work Force 5.0 คือ 1. Critical Thinking และ Judgment เมื่อได้รับคำตอบจาก AI ต้องไม่เชื่อทันที แต่ต้องมีทักษะในการตั้งคำถาม การวิเคราะห์ และการตัดสินใจว่าคำตอบนั้นถูกต้องตามหลักการหรือไม่
2. Collaboration หรือทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น และทำงานร่วมกับ AI หรือ Robot ซึ่งจะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานใหม่ และ 3. Ability and Willingness to Learn หรือความสามารถและความปรารถนาที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
เมื่อถามถึงการวัดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ธนวัฒน์ทิ้งท้ายว่าความร่วมมือนี้ไม่ได้วัดผลตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่เป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดแก่ประเทศ เนื่องจากแรงงานที่มีทักษะคือรากฐานของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
"AI คือโอกาสในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและเรื้อรังของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านการศึกษา หากสามารถนำ AI หรือ Copilot มาเป็นครูสอนพิเศษส่วนตัวให้กับนักเรียน หรือเป็นผู้ช่วยครู ก็มีโอกาสที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีจำนวนครูน้อย การลงทุนด้านทักษะในครั้งนี้จึงเป็นพลังสำคัญในการพาประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืนและมั่นคง".


