ไมโครซอฟท์เฮ 2025 มีผู้ใช้งานไทยเข้าสู่ระบบเรียนปัญญาประดิษฐ์ (AI Skill Navigator Portal) ทะลุ 1.57 ล้านคนตลอด 1 ปี เอื้อวิสัยทัศน์ติดปีกองค์กรไทยเป็นบริษัทแถวหน้า "Frontier Firms" ที่บุกเบิกการใช้ AI สร้างโอกาสใหม่และเสริมศักยภาพพนักงาน ยก Giffarine เป็นกรณีศึกษาใช้ AI Coach ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารและ Live สดจนทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 250% ยอมรับการลงทุน AI ขององค์กรจำเป็นต้องใช้เงินมาก กระทุ้งรัฐบาลใหม่ช่วยอัดฉีดเงินหนุน SME เปลี่ยนผ่านเร็วขึ้น
นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด แสดงความเห็นส่วนตัวในการประชุมเพื่อสรุปผลงานในปีงบประมาณ 2568 (FY25 สิ้นสุด มิ.ย. 2568) และแผนงานสำหรับปีงบประมาณ 2569 (FY26 เริ่มก.ค. 2568) ว่าบริษัทมีแผนการมุ่งพาองค์กรไทยให้เปลี่ยนผ่านเป็น Frontier Firm หรือองค์กรที่นำ AI เข้ามาสร้างความแตกต่าง สร้างนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจ และเสริมศักยภาพพนักงาน อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนเงินทุนยังเป็นปัญหาไก่กับไข่ที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งหากภาครัฐสามารถช่วยสนับสนุน เชื่อว่าจะเป็นตัวเร่งให้เกิดพัฒนาการเร็วขึ้น
"ถ้าไม่รู้จะเอาอะไรมาลงทุน การทรานสฟอร์มก็เกิดขึ้นยาก เป็นปัญหา chicken and egg กันอยู่ตรงนี้ สิ่งที่ผมจะบอกก็คือถ้าภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุน ทั้งเงินลงทุน หรืออะไรก็ แล้วแต่ ที่ช่วยทำให้ปลดล็อคได้ เมื่อองค์กรสามารถมีเงินเข้าไปดำเนินการได้ ก็จะเร่งสปีดได้"
*** 1 ปีลุยลงทุน 5 ด้าน
ในส่วนของไมโครซอฟท์ บริษัทยืนยันว่าได้ลงทุนในหลายด้านเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ เทคโนโลยี การกำกับดูแล และความมั่นคงปลอดภัย ซึ่ง 1 ใน 5 ด้านการลงทุนหลักของไมโครซอฟท์ คือการลงทุนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) ซึ่งได้ลงทุนไปกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก
ด้านที่ 2 คือการลงทุนในศูนย์ National AI Innovation Center โดยไมโครซอฟท์ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับองค์กร EY (Earn and Young) และ BDI (Big Data Institute) ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อสร้างแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) สำหรับพัฒนา AI แล้ว ซึ่งแม้จะยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขการลงทุนที่แน่นอน แต่ได้เตรียมทรัพยากรและการลงทุนไว้แล้ว และจะเป็นการลงทุนเม็ดเงินใหญ่สำหรับปีงบประมาณ 2569
"โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนภาครัฐและ SMEs ให้นำกรณีศึกษา (Use Case) มาทดลองใช้ AI"
ด้านที่ 3 คือการลงทุนในการพัฒนาทักษะ AI ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ลงทุนในการสร้างระบบ AI Skill Navigator Portal ซึ่งมีคอร์ส AI กว่า 200 คอร์ส ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงขั้นสูง ล่าสุดเนื้อหาสอนเรื่อง AI เหล่านี้ถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มการเรียนระดับชาติของกระทรวงศึกษาธิการ และ GET Platform ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา และคุณครูสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ฟรี
"เป้าหมายในปีงบประมาณ 2566 คือการสร้าง AI Engineer หรือ Developer ที่สามารถสร้าง AI ได้จริงจำนวน 100,000 คน"
ด้านที่ 4 คือการลงทุนในเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม AI โดยไมโครซอฟท์ลงทุนในการพัฒนา Azure AI Hub ซึ่งมีโมเดล AI มากกว่า 11,000 โมเดล รวมถึง DeepMind, Grok ของ Elon Musk, โมเดล Open Source ประมาณ 80-90% และโมเดลของ OpenAI ที่มาแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยแพลตฟอร์มนี้เปิดกว้างให้ Developer เข้ามาสร้างสรรค์และแก้ปัญหาได้อย่างเสรี
ในอีกด้าน ไมโครซอฟท์ระบุว่าได้ลงทุนการพัฒนา Copilot (Microsoft 365 Copilot) และ Copilot Studio ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาสามารถสร้าง AI Agent ได้ด้วย Low-Code/No-Code และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้อย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา Windows 11 ที่มี Security และการเข้าถึง AI ในตัว เพื่อป้องกันข้อมูลองค์กรรั่วไหล รวมถึงการเปิดตัว Copilot+ PC ซึ่งเป็นอุปกรณ์ใหม่ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ AI โดยมีชิป NPU ในเครื่องเพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการประมวลผล AI
ด้านสุดท้าย ด้านที่ 5 คือการลงทุนด้าน Data Center เบื้องต้นเจ้าพ่อไอทีอเมริกันชี้ว่าโครงการลงทุน Data Center ของไมโครซอฟท์ยังคงดำเนินต่อตามแผน และถือเป็นการลงทุนที่สำคัญ ไม่แพ้ความร่วมมือกับ BDI ที่ยังคงเป็นไปตามแผนเดิม
***Frontier Firms แต่คนตกงาน?
การลงทุนเหล่านี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น "Frontier Country" และองค์กรไทยให้เป็น "Frontier Firms" มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากหัวหน้างานในบริษัท จะสามารถมี "ลูกน้อง AI" ที่เฉลียวฉลาดเหมือนคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอก จุดนี้อาจเป็นแรงผลักดันสำคัญ ให้ไมโครซอฟท์เดินหน้าพัฒนาทักษะคนไทยยุค AI ทำให้ภารกิจการพัฒนาทักษะ AI สำหรับแรงงาน กลายเป็น 1 ใน 3 เป้าหมายหลักในปีงบประมาณ 2569
"ผมมองว่าเราจะทำอย่างไรที่จะช่วยตลาดแรงงาน ให้ทุกคนสามารถมีสกิลในเรื่องของ AI ให้ได้ เพราะสำหรับผู้ที่ Early Retire หรือกลุ่มแรงงานที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพ AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้สร้างอาชีพใหม่ได้ เช่น เป็น YouTuber, Content Creator, Advisor, Podcast หรือ Class Creator สามารถใช้ AI เป็นผู้ช่วยในการเติมความรู้และพัฒนาทักษะเพื่อก้าวเข้าสู่อาชีพที่สนใจได้ การมีทักษะ AI จะช่วยลด AI Divide หรือช่องว่างระหว่างคนที่มีและไม่มีทักษะ AI ซึ่งจะลดความกลัวว่าจะตกงาน เพราะรู้สึกว่าตัวเองสามารถสร้างอาชีพใหม่ได้ กับทักษะ AI ที่มี"
ไม่ว่าโครงสร้างองค์กรในยุค AI อนาคตจะมีพนักงานน้อยลงมากเท่าใด แต่ MD ใหญ่ไมโครซอฟท์มองว่าสิ่งที่ชัดเจนคือคนทำงานจำเป็นต้อง Upskill ตัวเองขึ้นมาเพื่อให้สามารถบริหาร AI Agent ให้เต็มที่มากขึ้น ซึ่งไมโครซอฟท์เองก็มีการปรับตัวภายในบริษัทเช่นกัน โดยเพิ่มบุคลากรด้านเทคนิคและ Upskill พนักงานเดิม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ในภาพรวม ไมโครซอฟท์ได้ประกาศผลประกอบที่โดดเด่นไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ 2025 โดยรายได้รวมอยู่ที่ 76,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของคลาวด์และบริการดิจิทัล ซึ่งช่วยขับเคลื่อนบริษัทให้ก้าวข้ามความคาดหมายของนักวิเคราะห์
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน แต่รายได้จากการดำเนินงานของไมโครซอฟท์ ยังโตแตะหลัก 34,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 23% ขณะที่กำไรสุทธิทะยานขึ้นถึง 27,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโต 24% จากปีก่อน การเติบโตที่โดดเด่นที่สุดมาจากบริการ Azure ซึ่งขยายตัวถึง 39% ส่งผลให้ส่วนธุรกิจคลาวด์และบริการที่เกี่ยวข้องรายงานรายได้ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ สำหรับทั้งปีงบประมาณ 2025 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 36,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีการเติบโตในทุกเซกเมนต์ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบริการออนไลน์
ผลประกอบการนี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำของไมโครซอฟท์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ยังบ่งชี้ถึงแนวโน้มในอนาคตที่สดใส โดยบริษัทคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในด้านปัญญาประดิษฐ์และคลาวด์คอมพิวติ้ง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย.
ในภาพรวม ไมโครซอฟท์ได้ประกาศผลประกอบที่โดดเด่นไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ 2025 โดยรายได้รวมอยู่ที่ 76,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของคลาวด์และบริการดิจิทัล ซึ่งช่วยขับเคลื่อนบริษัทให้ก้าวข้ามความคาดหมายของนักวิเคราะห์
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน แต่รายได้จากการดำเนินงานของไมโครซอฟท์ ยังโตแตะหลัก 34,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 23% ขณะที่กำไรสุทธิทะยานขึ้นถึง 27,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโต 24% จากปีก่อน การเติบโตที่โดดเด่นที่สุดมาจากบริการ Azure ซึ่งขยายตัวถึง 39% ส่งผลให้ส่วนธุรกิจคลาวด์และบริการที่เกี่ยวข้องรายงานรายได้ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ สำหรับทั้งปีงบประมาณ 2025 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 36,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีการเติบโตในทุกเซกเมนต์ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบริการออนไลน์
ผลประกอบการนี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำของไมโครซอฟท์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ยังบ่งชี้ถึงแนวโน้มในอนาคตที่สดใส โดยบริษัทคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในด้านปัญญาประดิษฐ์และคลาวด์คอมพิวติ้ง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย.


