กสทช. เสนอโครงการเน็ตคนละครึ่ง 160 บาท/เดือน ให้กระทรวงดีอีพิจารณาก่อนเข้า ครม. 28 ต.ค.68 เล็งช่วยคนจนเข้าถึงเน็ต 40GB นาน 3 เดือน พร้อมแผนอัปเกรดมือถือ 2G เป็น 4G-5G ลดเหลื่อมล้ำ
เมื่อวันที่ 22 ต.ค.68 นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กสทช. เตรียมเสนอโครงการเน็ตคนละครึ่ง สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) กว่า 14 ล้านคน ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 28 ต.ค.68 โดยใช้งบประมาณจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง โทรทัศน์ และโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ กสทช. ได้หารือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) โดยเอกชนเสนอราคาไว้ที่ 199 บาทต่อเดือนไม่รวมภาษี อย่างไรก็ตาม ทาง กสทช. ยืนยันว่าต้องถูกกว่านั้น จึงได้ข้อสรุปที่อัตรา 160 บาทต่อเดือน รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้ปริมาณข้อมูลอินเทอร์เน็ต 40 GB ต่อเดือน นาน 3 รอบบิล ซึ่งหลังจากนี้จะส่งแผนดังกล่าวให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เสนอต่อ ครม. ต่อไป
อย่างไรก็ดี แม้โครงการดังกล่าวจะลดค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง แต่กลับติดข้อจำกัดสำคัญ คือ ประชาชนจำนวนมากยังใช้โทรศัพท์มือถือระบบ 2G ที่ไม่รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต ทั้งในแง่ความเร็วและฟังก์ชันพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้ กสทช. จึงเตรียมหารือเพิ่มเติมกับโอเปอเรเตอร์ เพื่อออกมาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนหรืออัปเกรดอุปกรณ์ให้รองรับเครือข่าย 4G หรือ 5G ควบคู่กับแผนการยกเลิกการใช้งานเครือข่าย 2G และ 3G ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
"กำลังขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการทุกราย เพื่อหาแนวทางออกแพ็กเกจสมาร์ทโฟนราคาประหยัดให้ประชาชนได้เปลี่ยนเครื่องรองรับอินเทอร์เน็ตได้จริง" นายไตรรัตน์ กล่าว
ขณะเดียวกัน สำนักงาน กสทช. ยังอยู่ระหว่างยกร่างประกาศใหม่เกี่ยวกับการกำหนดและกำกับดูแลโครงสร้างอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันและต้นทุนที่เปลี่ยนแปลง โดยสาระสำคัญ คือ การปรับค่าบริการขั้นเริ่มต้น หรือ แพ็กเกจธงฟ้า ที่เดิมจำกัดไว้ไม่เกิน 240 บาทต่อเดือน ให้มีราคาถูกลง โดยครอบคลุมเฉพาะบริการเสียงและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ไม่รวม SMS และ MMS เพื่อสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน
สำหรับอัตราใหม่ จะคำนวณจากรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือนของทั้งลูกค้ารายเดือนและเติมเงิน ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้รับค่าโทรและค่าเน็ตในอัตราที่ถูกลง โดยจะกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องมีแพ็กเกจธงฟ้าอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ แบบจ่ายตามการใช้งาน (Pay Per Use) และแบบเหมาจ่าย (Flat Rate)
"การปรับโครงสร้างในครั้งนี้ไม่เพียงคำนึงถึงต้นทุนที่แท้จริงของผู้ให้บริการ หากแต่ยังส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เพิ่มความโปร่งใส และสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะถูกเร่งเสนอเข้าสู่กระบวนการประกาศใช้โดยเร็ว" นายไตรรัตน์ กล่าว
ในอีกด้านหนึ่ง นายไตรรัตน์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค.68 ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งได้สั่งการให้ สำนักงาน กสทช. กำชับโอเปอเรเตอร์มิให้นำโครงข่ายโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตไปใช้ในทางผิดกฎหมาย ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ต่อจากนั้น สำนักงาน กสทช. ได้เรียกโอเปอเรเตอร์เข้าร่วมประชุม เพื่อย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวด โดยมีประเด็นสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่
1.ให้ควบคุมสถานีฐานโทรศัพท์บริเวณชายแดน ด้วยการจำกัดรัศมีการให้บริการ (Cell Radius) แทนการจำกัดความสูงเสาสัญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณล้ำข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นช่องทางที่กลุ่มมิจฉาชีพอาจใช้ในกระบวนการฉ้อโกงข้ามชาติ
2.สั่งให้ตรวจสอบคู่สัญญาและพฤติกรรมใช้งานที่มีความเสี่ยง หากพบต้องระงับบริการทันทีและแจ้ง กสทช. เพื่อติดตามขยายผล โดยหากเพิกเฉยจะเข้าข่ายมีส่วนร่วมรับผิดตาม พ.ร.ก. ป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
3.ห้ามผู้รับใบอนุญาตนำ IP address ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ไปให้บริการในต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังเตือนว่า หากผู้ให้บริการรายใดเพิกเฉยต่อมาตรการดังกล่าว จะเข้าข่ายผิดเงื่อนไขใบอนุญาตตามข้อ 12.16 และอาจถูกพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ตามมาตรา 64-66 แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544
"ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไม่ใช่แค่เรื่องของไทยอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นวิกฤตระดับโลกที่กระทบเศรษฐกิจและความสงบของสังคมไทยโดยตรง เราจึงต้องเร่งมือ และใช้ทุกเทคโนโลยีที่มีในการจำกัดขอบเขตสัญญาณให้ไม่ล้ำแดน เพื่อปิดทางให้ขบวนการมิจฉาชีพชายแดน โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชา" นายไตรรัตน์ กล่าว