หลังจากแอบดูความแรงของอินเทอร์เน็ตกัมพูชาไปแล้ว ถึงคิวแอบดูความคืบหน้าการปราบปรามคดีอาชญากรรมและการล่อลวงบนออนไลน์ของเขมรบ้าง เพราะในขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานว่ากัมพูชาเป็นศูนย์กลางของการหลอกลวงออนไลน์ แต่เจ้าหน้าที่กัมพูชากลับโต้ว่าแท้จริงแล้ว คนกัมพูชาเองก็ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรต่างชาติ ที่เข้ามาใช้พื้นที่ตั้งฐานดำเนินการ เพราะกฎหมายไซเบอร์ของกัมพูชายังตามไม่ทัน และประชาชนยังมีความรู้ด้านเทคโนโลยีไม่มากพอ
ตัวอย่างที่สำคัญคือตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2023 จนถึงมิถุนายน 2025 เจ้าหน้าที่กัมพูชาได้รับ "คำขอให้ช่วยเหลือ" จำนวนหลายพันรายการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติเกือบ 10,000 คน จาก 35 สัญชาติแต่แม้จะมีจำนวนคำร้องมากเช่นนี้ กลับมีเพียง 68 คนเท่านั้นที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นเหยื่ออาชญากรรมตัวจริง เช่น การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานบังคับ หรือการกักขังโดยมิชอบ
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 129 คนจาก 5 ประเทศ และมีการปิดกิจการต้องสงสัย 24 แห่งชั่วคราว (สถิติจาก asianews ตามรายงานของ The Phnom Penh Post)
***ร้องหลักหมื่น ช่วยหลักร้อย
การที่มีคำร้องขอให้ช่วยเหลือจำนวนมาก แต่หลังจากตรวจสอบแล้ว พบว่ามีจำนวนน้อยมากที่เป็นเหยื่อจริง สามารถสะท้อนได้ถึงความท้าทายของหน่วยงานรัฐในการรับมือกับข้อมูลมหาศาลในยุคดิจิทัล ทำให้บางคำร้องถูกมองว่ามาจากความเข้าใจผิด และไม่มีหลักฐานเพียงพอ เนื่องจากทางการจะสามารถดำเนินคดีได้เฉพาะในกรณีที่ตรวจสอบแล้วพบการกระทำผิดที่ชัดเจน
วันนี้ กัมพูชาพยายามแสดงจุดยืนว่ากำลังเผชิญกับความซับซ้อนของอาชญากรรมข้ามชาติที่ต้องอาศัยการสืบสวนเชิงลึก และเทคโนโลยีที่กัมพูชายังมีช่องว่างอยู่ ขณะเดียวกัน กัมพูชายังพยายามแสดงความต้องการร่วมมือกับนานาชาติ ทั้งจีน เวียดนาม ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ไปจนถึง UN และอาเซียน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายก็ยอมรับตรงกันว่า ปัญหาสำคัญที่ยังเป็นอุปสรรคของกัมพูชาคือช่องว่างทางเทคโนโลยี
ชู บุน อึง รองประธานคณะกรรมการต่อต้านการค้ามนุษย์ของกัมพูชา ระบุว่า การที่ประเทศยังขาดผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และยังเป็น “ผู้ใช้งานเทคโนโลยี” มากกว่าจะเป็น “ผู้พัฒนา” กัมพูชาจึงตกเป็นเป้าหมายของขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยสถิติจำนวนเหยื่อล่อลวงและอาชญากรรมในเขมรครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางรายงานล่าสุดจาก UNODC หรือสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ที่ทำให้กัมพูชากำลังถูกจับตามองในฐานะศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก โดยมีการเปิดแผนที่ที่ชี้ให้เห็นเลยว่าเมืองอย่าง สีหนุวิลล์, ปอยเปต, พนมเปญ กลายเป็นฐานที่มั่นขนาดใหญ่ของขบวนการล่อลวงออนไลน์
***เมืองแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์
รายงานของ UNODC มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมยืนยันว่ามีการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนานใหญ่ในกัมพูชา จนมีการวิจารณ์ว่านี่อาจเป็นการสร้างเมืองทั้งเมืองขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์โดยเฉพาะ จุดนี้ไม่แน่ชัดว่ามีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าประเทศกัมพูชาต่างหากที่ยังขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และการเป็นแค่ผู้ใช้ ไม่ใช่ผู้สร้าง ก็ทำให้กลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ใช้กัมพูชาเป็นฐานในการหลอกลวงคนในประเทศอื่น จนกลายเป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและเศรษฐกิจของกัมพูชา
ถามว่าความจริงคืออะไร? คำตอบอาจเกี่ยวข้องกับ “ฮุยวัน กรุ๊ป” (Huione Group) กลุ่มบริษัทการเงินในกัมพูชาที่ถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำ โดย Fincen หรือเครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินของสหรัฐฯ ชี้ว่า Huione Group คือ "ศูนย์กลางการฟอกเงินระดับโลก" ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรไซเบอร์ โดยมีเงินหมุนเวียนในระบบหลายพันล้านดอลลาร์
การสำรวจพบว่า Huione ไม่ได้เป็นแค่บริษัทธรรมดา แต่มีระบบนิเวศเป็นของตัวเอง ทั้งแพลตฟอร์มรับชำระเงิน ตลาดแลกเปลี่ยนคริปโต และที่น่าทึ่งคือมีบล็อกเชนของตัวเองที่ชื่อว่า "Xone Chain" เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากภาครัฐ
เรื่องนี้เกี่ยวกับคนไทยด้วย เพราะตำรวจไซเบอร์ของไทย (CCIB) ได้แกะรอยเส้นทางการเงินของแก๊งพนันออนไลน์และคอลเซ็นเตอร์ในบ้านเรา พบว่าเงินที่คนไทยถูกหลอกจำนวนมาก ถูกส่งต่อผ่านบัญชีม้า แปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล และส่งไปฟอกที่บริษัทในกัมพูชา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Huione Group นี่เอง โดยรายงานยังเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่มีสายสัมพันธ์กับการเมืองระดับสูงของกัมพูชาอีกด้วย
ไม่ว่าเรื่องจริงคืออะไร แต่สิ่งที่สามารถสรุปได้คือคดีล่อลวงไซเบอร์เขมรมีโครงสร้างซับซ้อน มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และมีเงินทุนมหาศาล โดยสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศข้างบ้านของไทย คือการไล่ตามช่วยเหลือผู้เสียหายได้น้อยมาก ทั้งที่มีข้อร้องเรียนนับหมื่น แต่การช่วยเหลือจริงกลับทำได้ไม่ถึง 10% ซึ่งสถานการณ์นี้จะยิ่งน่ากังวลมากขึ้นอีกในอนาคตที่อาชญากรจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการปลอมแปลงทั้งภาพ เสียง และเอกสารได้เนียนขึ้น ทำให้การหลอกลวงน่าเชื่อถือและป้องกันได้ยากยิ่งกว่าเดิมแน่นอน.