xs
xsm
sm
md
lg

แอบดูอินเทอร์เน็ตกัมพูชา แรง 4G เซ็นเซอร์เข้มเกตเวย์เดียว "National Internet Gateway"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา อาจไม่ได้มีนัยเรื่องความขัดแย้งชายแดนประเทศเท่านั้น แต่ยังสะท้อนประเด็นน่าสนใจในมุมเทคโนโลยีดิจิทัล เมื่อกัมพูชาประกาศกร้าวว่าจะไม่ซื้ออินเทอร์เน็ตจากประเทศไทยอีกต่อไป

คำประกาศนี้ดังก้องหลังจากความตึงเครียดบริเวณชายแดน จนมีกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียของฝั่งไทยว่า อาจจะมีการใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด คือ "ตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต" ที่ส่งไปยังกัมพูชา แต่แทนที่จะรอให้เกิดเหตุการณ์นั้น สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็ชิงประกาศผ่านเฟซบุ๊กว่ากัมพูชาจะยุติการซื้อแบนด์วิดท์อินเทอร์เน็ตจากไทยทั้งหมด

ฮุน มาเนต ให้เหตุผลว่า ตอนนี้กัมพูชามีศักยภาพเพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้วทั้งด้านไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต คำถามที่น่าสนใจคือกัมพูชาเอาความมั่นใจมาจากไหน? ทั้งที่ภาพจำของหลายคนคืออินเทอร์เน็ตที่นั่นยังพัฒนาตามหลังไทยอยู่พอสมควร

สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
***National Internet Gateway ประตูสู่โลกดิจิทัล... บานเดียว

ไพ่ใบสำคัญที่สุดของรัฐบาลกัมพูชาคือสิ่งที่เรียกว่า "National Internet Gateway" หรือ NIG ซึ่งเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบไปเมื่อปี 2022

พูดให้เข้าใจง่าย NIG คือการบังคับให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกรายในกัมพูชา ต้องส่งข้อมูลการใช้งานทั้งหมด ย้ำว่าทั้งหมด ให้วิ่งผ่าน "ท่อกลาง" เพียงท่อเดียวที่รัฐบาลควบคุมอยู่

แน่นอนว่ากลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้ง Human Rights Watch และกลุ่มพันธมิตร Big Tech ในเอเชีย วิเคราะห์ตรงกันในเวลานั้นว่านี่คือเครื่องมือสอดส่องและเซ็นเซอร์ข้อมูลของประชาชนอย่างสมบูรณ์แบบ รัฐบาลสามารถตรวจสอบและบล็อกเนื้อหาอะไรก็ได้ตามต้องการ

ดร. โสภณ เอียร์ (Dr. Sophal Ear) ผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชาศึกษา ถึงกับบอกว่า NIG เปรียบเสมือนตะปูตัวสุดท้ายที่ตอกฝาโลงเสรีภาพในการแสดงออกของชาวกัมพูชาบนโลกออนไลน์ เพราะจะทำให้รัฐบาลรู้เห็นทุกอย่าง ไม่ต่างจาก The Great Firewall ของจีนเลย

เน็ตบ้านกัมพูชา วัดความเร็วเฉลี่ยได้ 47.51 Mbps อยู่อันดับที่ 106 ของโลก
เมื่อมีโครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมได้แล้ว ขั้นต่อมาคือการสร้างระบบนิเวศหรือ Ecosystem ของตัวเอง กัมพูชาได้เปิดตัวแอปแชตของชาติในชื่อ "คูลแอป" (CoolApp) โดยได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายกฯ ฮุน เซน อย่างเต็มที่ โดยท่านให้เหตุผลว่านี่คือแอปเพื่อ "ความมั่นคงของชาติ" เหมือนกับที่จีนมี WeChat

แต่แน่นอน ฝ่ายค้านและนักวิจารณ์ต่างออกมาเตือนว่า CoolApp อาจเป็นเครื่องมือสอดส่องและควบคุมวาทกรรมทางการเมืองของประชาชนมากกว่า แม้ผู้สร้างจะอ้างว่ามีการเข้ารหัสแบบ End-to-End ก็ตาม แต่เมื่อทุกอย่างต้องวิ่งผ่าน NIG ความเป็นส่วนตัวก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

  ความเร็วเน็ตบ้าน (Fixed Broadband) ไทยติดอันดับ 12 ของโลกด้วยสถิติ 238.41 Mbps
สิ่งที่สัมผัสได้คือความมั่นใจของกัมพูชาในการประกาศตัดขาดจากอินเทอร์เน็ตไทยนั้น ไม่ได้มาจากความเร็วหรือเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่อาจมาจากความสามารถในการควบคุมโลกดิจิทัลของประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จ จุดยืนนี้แตกต่างจากประเทศไทย ที่เป็นหนึ่งในประเทศในผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตในเอเชียตั้งแต่ปี 1987 (พ.ศ. 2530) และปัจจุบันไทยมีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหรือ Internet Penetration สูงเกิน 85%

***ไทย vs กัมพูชา

ความเร็วเน็ตบ้าน (Fixed Broadband) ไทยติดอันดับ 12 ของโลกด้วยสถิติ 238.41 Mbps (ข้อมูลจาก Datapandas.org พ.ค. 2025) เป็นรองจีนที่อยู่อันดับ 11 นำหน้าแคนาดาที่อยู่อันดับ 13 ขณะที่เครือข่าย 5G ก็เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ไปตั้งแต่ปี 2020 แล้ว และกำลังขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง สถิติความเร็วอินเทอร์เน็ตบนมือถือ วัดได้ 101.89 Mbps อยู่อันดับ 39 ของโลก

ความเร็วเน็ตมือถือของแต่ละประเทศ แสดงบนแผนที่ของ datapandas.org
ในขณะที่กัมพูชา แม้จะมีการทดลอง 5G กับ Huawei ไปบ้างแล้ว แต่เครือข่ายหลักส่วนใหญ่ยังคงเป็น 4G และในอดีต ท่านฮุน เซน เคยมีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการใช้งานวิดีโอคอลบนเครือข่าย 3G ด้วยซ้ำ ซึ่งสะท้อนแนวทางการควบคุมมาโดยตลอด โดยความเร็วเน็ตมือถือของกัมพูชาเฉลี่ยที่ 49 Mbps นั่งอันดับ 73 ของโลก ตัวอันดับนั้นดีกว่าเน็ตบ้านที่วัดได้ 47.51 Mbps อยู่อันดับที่ 106 ของโลก

ความเร็วเน็ตมือถือของกัมพูชาเฉลี่ยที่ 49 Mbps นั่งอันดับ 73 ของโลก
หากเปรียบเทียบสถิติไทย-กัมพูชาแบบง่ายๆ จะเห็นได้ว่าเส้นทางการพัฒนาอินเทอร์เน็ตของ 2 ประเทศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ประเทศไทยมุ่งไปสู่การแข่งขันเสรี ความเร็วสูง และการเป็นศูนย์กลางดิจิทัล ในขณะที่กัมพูชากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางของ "Digital Sovereignty" หรือ "อธิปไตยทางดิจิทัล" ที่เน้นการพึ่งพาและควบคุมตัวเองเป็นหลัก แม้จะต้องแลกมาด้วยเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานก็ตาม

เรื่องราวนี้จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ว่าในยุคที่โลกเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว ยังมีประเทศที่เลือกจะสร้างกำแพงดิจิทัลของตัวเองขึ้นมา และนี่คือทิศทางที่น่าจับตา ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับโลกอินเทอร์เน็ตของเพื่อนบ้านเรา.


กำลังโหลดความคิดเห็น