ผ่าเบื้องหลัง "ดีปซีค" (DeepSeek) บริการปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากคนรุ่นใหม่แดนมังกรที่ถูกขนานนามว่าเป็นจุดเปลี่ยนแห่งวงการที่เขย่าวงการเทคโนโลยี พบซุ่มตุนชิปนาน 4 ปี พร้อมกับติดอาวุธเทคนิควิเคราะห์ข้อมูลแบบใหม่ไม่ซ้ำใคร ทำให้เงินทุนพัฒนาต่ำกว่ายักษ์ใหญ่ที่ใช้งบประมาณมหาศาล
***มากกว่าการตุนชิป
DeepSeek เป็นสตาร์ทอัปจากประเทศจีนที่ก่อตั้งและบริหารโดยบริษัท "ไฮฟลายเออร์" (High-Flyer) ซึ่งเป็นบริษัทซื้อขายหุ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป้าหมายของ DeepSeek คือการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ทรงพลังเช่นเดียวกับแชตจีพีที (ChatGPT) ของบริษัทโอเพ่นเอไอ (OpenAI) รวมถึงเจมิไน (Gemini) ของกูเกิล (Google)
ตั้งแต่ปี 2021 รายงานระบุว่าบริษัท High-Flyer ได้จัดหาชิปคอมพิวเตอร์จำนวนมากจากเอ็นวิดีเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับการสร้างระบบ AI ที่ทรงพลัง นอกจากนี้ DeepSeek ยังดึงดูดนักวิจัย AI รุ่นใหม่จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ พร้อมเสนอเงินเดือนสูงและโอกาสในการทำงานวิจัยล้ำสมัย
ล่าสุดในวันที่ 10 มกราคม 2025 บริษัทได้เปิดตัวโมเดล AI รุ่นใหม่ชื่อ DeepSeek-V3 ซึ่งสามารถให้บริการผ่านแอปพลิเคชันในรูปแชตบอท ที่ทำได้ฟรี
***ทำไมตลาดหุ้นจึงป่วน?
หากจะหาคำตอบว่าเหตุใด ตลาดหุ้นจึงผันผวนเพราะข่าวของ DeepSeek เราอาจต้องย้อนไปดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ DeepSeek เปิดตัว DeepSeek-V3 หลังวันคริสต์มาส 2024 แต่ปรากฏว่าโมเดลนี้แสดงศักยภาพเทียบเท่าโมเดล AI ชั้นนำจาก OpenAI และ Google แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจยิ่งกว่าคือการที่ทีมงานใช้ชิปเพียงประมาณ 2,000 ตัว ในขณะที่บริษัทอื่นใช้งานชิปถึง 16,000 ตัว หรือมากกว่านั้น
ด้วยต้นทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 203 ล้านบาท DeepSeek สามารถสร้างระบบที่ใช้ประสิทธิภาพชิปได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนของบริษัท Meta ถึง 10 เท่า
ถามว่า DeepSeek ทำได้อย่างไร? รายงานจากนิวยอร์กไทมส์ชี้ว่า DeepSeek ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธี "mixture of experts" ที่กระจายการประมวลผลไปยังโมเดล AI หลายตัวพร้อมกัน ทำให้ลดเวลาที่สูญเสียในการย้ายข้อมูลระหว่างโมเดล
เทคนิควิธีนี้เคยมีการใช้งานมาก่อน แต่ DeepSeek สามารถปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอาจแปลได้ว่า DeepSeek มีความก้าวหน้ามากกว่า OpenAI
***DeepSeek ก้าวหน้ากว่า OpenAI?
ในขณะที่ยังไม่มีใครตอบว่าจริงหรือไม่จริง เพราะ DeepSeek-V3 มีความสามารถในการตอบคำถาม แก้ปัญหาเชิงตรรกะ และเขียนโปรแกรมได้ดีเทียบเท่าโมเดลที่มีอยู่ในตลาด แต่อย่างไรก็ตาม OpenAI ได้เปิดตัวโมเดล OpenAI o3 ซึ่งมีความสามารถด้านการใช้เหตุผลในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการเขียนโปรแกรมที่เหนือกว่า แต่ก็ยังไม่ได้เปิดให้สาธารณชนใช้งาน
จนเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 น้องเล็กอย่าง DeepSeek เปิดตัวโมเดล DeepSeek R1 ซึ่งสามารถประมวลผลเชิงเหตุผลได้ดีและได้รับการยอมรับ ทำให้สปอตไลต์ส่องไปที่ DeepSeek และเกิดแรงกระเพื่อมถึงภาคการเมืองระหว่างประเทศ
***สหรัฐฯ ปิดกั้นจีน ไร้น้ำยา?
ชัดเจนแล้วว่าข้อจำกัดการส่งออกชิป Nvidia ของสหรัฐฯ ไม่อาจคุมกำเนิดหรือปิดกั้นการเติบโตของสตาร์ทอัปจีน ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ มีนโยบายจำกัดการส่งออกชิป Nvidia ไปยังจีนเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI แต่ DeepSeek ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการพัฒนา AI ด้วยทรัพยากรที่จำกัด
นอกจากนี้ จีนยังหันมาใช้เทคโนโลยีและข้อมูลโอเพ่นซอร์ส ซึ่งถูกวิเคราะห์ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดข้อเสียเปรียบ ดังนั้น บทสรุปของ DeepSeek จึงอยู่ที่ความสำคัญของโอเพ่นซอร์ส AI ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อการพัฒนาในอนาคต
ปัจจุบัน DeepSeek เปิดให้ใช้งานระบบ AI ของบริษัทในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส ซึ่งช่วยให้บริษัทและนักวิจัยอื่นๆ สามารถพัฒนาเทคโนโลยีต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว โมเดลนี้เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่ Meta เปิดตัว Llama ในปี 2023 และ DeepSeek ได้แสดงให้เห็นว่าโอเพ่นซอร์ส AI สามารถประสบความสำเร็จได้แม้ไม่มีทรัพยากรจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ
สำหรับประเทศไทย แม้ DeepSeek จะไม่ได้ทำให้จีนเป็นผู้นำในด้าน AI อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ความก้าวหน้าในโอเพ่นซอร์ส AI ของจีนเป็นสัญญาณเตือนสำหรับสหรัฐฯ หากบริษัทในจีนยังคงสร้างเทคโนโลยีที่โดดเด่น อาจทำให้ประเทศอื่น รวมถึงไทยต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีนในอนาคต