นักลงทุนทั่วโลกแห่เทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจนตลาดปรับตัวลดลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) ท่ามกลางความกังวลว่าโมเดลเอไอต้นทุนต่ำจากจีนอาจจะก้าวขึ้นมาท้าทายอิทธิพลของผู้นำตลาดอย่าง Nvidia จนส่งผลให้ราคาหุ้นของ Nvidia ดิ่งรูด 17% มูลค่าตลาดหายไปถึง 593,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียมูลค่าตลาดภายในวันเดียวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท
สัปดาห์ที่แล้ว บริษัทสตาร์ทอัปจีน DeepSeek ได้เปิดตัวผู้ช่วยเอไอแบบใช้งานฟรีที่อ้างว่าใช้ฐานข้อมูลและต้นทุนที่ต่ำกว่าโมเดลเอไอเจ้าอื่นๆ ในปัจจุบัน และปรากฏว่าเมื่อวันจันทร์ (27) โมเดลเอไอของ DeepSeek ได้สร้างสถิติมียอดดาวน์โหลดทาง App Store แซงหน้า ChatGPT ของสหรัฐฯ ไปแล้ว
ปรากฏการณ์ความมาแรงนี้ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 3.1% ในวันจันทร์ (27) โดยมีปัจจัยจากแรงฉุดของหุ้น Nvidia ที่ร่วงถึง 17% และสูญเสียมูลค่าตลาดมากที่สุดภายใน 1 วันเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ตามข้อมูลจาก LSEG
สำหรับหุ้นบริษัทเทครายใหญ่อื่นๆ ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ ผู้ผลิตชิป Broadcom (-17%) Microsoft ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของ ChatGPT (-2.1%) และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google (-4.2%)
"หาก DeepSeek เป็นกับดักหนูที่ดีกว่า (better mousetrap) จริงๆ มันอาจจะสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อเครื่องมือเอไอทั้งหมดที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา" ไบรอัน เจค็อบสัน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Annex Wealth Management ในรัฐวิสคอนซิน ระบุ
"มันอาจจะทำให้อุปสงค์ชิปลดลง ลดความต้องการสร้างแหล่งพลังงานขนานใหญ่เพื่อมาใช้กับโมเดลเหล่านี้ และลดความจำเป็นในการสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ด้วย"
หลังจากที่ Baidu ได้มีการเปิดตัวโมเดลเอไอจีนตัวแรกที่ถือเป็นคู่แข่ง ChatGPT ก็มีกระแสความผิดหวังเกิดขึ้นในจีนเกี่ยวกับช่องว่างด้านศักยภาพเอไอระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ถือว่ายังห่างชั้นกันอยู่
อย่างไรก็ตาม คุณภาพและประสิทธิภาพต้นทุน (cost efficiency) ของโมเดลเอไอ DeepSeek ทำให้มุมมองนี้เปลี่ยนไป และถึงขั้นที่ผู้บริหารบริษัทชั้นนำในซิลิคอนแวลลีย์หลายคนออกมากล่าวชมเชยโมเดล DeepSeek-V3 และ DeepSeek-R1
สำหรับ DeepSeek เป็นบริษัทสตาร์ทอัปขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในเมืองหางโจว ก่อตั้งในปี 2023 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Baidu เปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ตัวแรกของจีน แม้ว่าจะมีบริษัทเทคโนโลยีจีนจำนวนมากพัฒนาโมเดล AI ขึ้นเอง แต่ DeepSeek เป็นรายแรกที่ได้รับการยอมรับจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐฯ ว่ามีประสิทธิภาพทัดเทียมหรือแม้แต่เหนือกว่าโมเดลชั้นนำของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอเมริกัน
ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DeepSeek คือ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงเชิงปริมาณ High-Flyer
ทีมนักวิจัยของ DeepSeek ระบุในรายงานเมื่อเดือนที่แล้วว่า โมเดล DeepSeek-V3 ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 ม.ค. ใช้ชิป H800 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia "ลดสเปก" ลงเพื่อเอามาขายให้จีนในการฝึกฝนเอไอ และใช้ต้นทุนเพียงไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับโมเดล DeepSeek-R1 ที่ปล่อยออกสู่ท้องตลาดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาใช้ต้นทุนต่ำกว่าโมเดล o1 ของ OpenAI ประมาณ 20-50 เท่า โดยขึ้นอยู่กับภารกิจที่เอไอได้รับมอบหมาย ตามข้อมูลบนบัญชี WeChat ทางการของ DeepSeek
มาร์ก อันเดรสเซน นักลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ ระบุในโพสต์บน X เมื่อวันอาทิตย์ (26) ยกให้โมเดล R1 ของ DeepSeek เป็นเสมือน "ช่วงเวลาสปุตนิก" แห่งวงการเอไอ โดยอ้างการปล่อยดาวเทียมของสหภาพโซเวียตซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันด้านอวกาศในช่วงปลายทศวรรษ 1950
"DeepSeek R1 เป็นการเปิดตัวสิ่งใหม่ที่น่าประทับใจที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่ผมเคยเห็นมา และด้วยความเป็นโอเพนซอร์ส ก็ถือเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมสำหรับทั่วโลกด้วย" เขากล่าว
ด้าน แดเนียล มอร์แกน ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโออาวุโสจาก Synovus Trust Company ซึ่งถือหุ้นเกือบ 1 ล้านหุ้นใน Nvidia ชี้ว่าแรงเทขายในตลาดหุ้นเทคโนโลยีเมื่อวันจันทร์ (27) ออกจะเป็นการโอเวอร์รีแอ็กชันไปหน่อย พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการที่โมเดลเอไอของ DeepSeek ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ PC เป็นหลักมากกว่าศูนย์ข้อมูล ทำให้มันกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับ ChatGPT META.O และ Gemini ของค่าย Alphabet
ที่มา : รอยเตอร์