โลกต้องบันทึกว่าปี 2024 คือปีที่ "นูรัลลิงก์" (Neuralink) บริษัทพัฒนาไมโครชิปสำหรับสมองของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ประกาศความสำเร็จในการฝังชิปในมนุษย์ครั้งแรก ทำให้ Musk คาดการณ์ว่าในอีก 20 ปี จะมีคนหลายร้อยล้านคนใช้ชิป Neuralink ฝังเข้าในเนื้อสมอง
ชิปนี้สามารถเพิ่มความเร็วในการประมวลผลของสมองมนุษย์ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ ตรงนี้ Elon Musk อธิบายว่าผู้ที่มีชิป Neuralink ในสมองจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองได้เหนือกว่าเกมเมอร์มืออาชีพภายในเวลา 2 ปี
Neuralink ชี้ว่ากำลังเร่งพัฒนาเรื่องการเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลระหว่างสมองกับชิป ซึ่งจะเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงระดับประมาณ 1 ล้านบิตต่อวินาที ชิปจะสามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็น “ไซบอร์ก” ที่มีความสามารถเกินมนุษย์ปกติ
ความน่ากังวลของเรื่องนี้คือผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพราะการมีมนุษย์ที่คิดและตัดสินใจได้เร็วกว่าอาจสร้างความแตกต่างในสังคม อาจจะเกิดเป็นพลเมืองสองชนชั้น นั่นคือคนธรรมดาและมนุษย์ที่ผ่านการเสริมศักยภาพมาแล้ว
ความกังวลนี้ทำให้เทคโนโลยีของ Neuralink ถูกมองว่ายังต้องการการพิจารณาทางจริยธรรมและการควบคุมทางกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป
***ข้อดีก็มี
ท่ามกลางความกังวล Neuralink ยืนยันว่าชิปนี้แสดงถึงความคืบหน้าทางการแพทย์ เพราะ Neuralink สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตให้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์และสื่อสารได้
ผู้ป่วยรายแรกที่ทดลองใช้งานอธิบายว่ารู้สึกเหมือนใช้พลัง “Force” จากภาพยนตร์ *Star Wars* ซึ่งเป็นพลังที่สั่งการสิ่งที่ต้องการได้โดยไม่ต้องใช้แรง
อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยและความท้าทายของโปรเจกต์ Neuralink คือ Musk นั้นเป็นบุคคลที่มีประวัติให้คำสัญญาที่เกินจริง เช่น การพัฒนารถของเทสลา (Tesla) ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ถึงเป้าหมาย เรื่องนี้เจ้าพ่อ Musk เคยบอกว่ารถยนต์ Tesla จะขับเคลื่อนด้วยตัวเองเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2014 และจะมี "แท็กซี่หุ่นยนต์" ล้านคันภายในปี 2020 ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นจริง
รวมถึงคำคาดการณ์เรื่องการตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารภายในปี 2050 ก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
แม้จะมีข้อสงสัย แต่โลกก็ยอมรับว่า Neuralink มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และเทคโนโลยีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษย์ คล้ายกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมก็ได้
อนาคตของ Neuralink จะเป็นอย่างไร? อีก 20 ปีข้างหน้าเราอาจได้เห็นคำตอบว่ามี "มนุษย์ชิป" หลายล้านคนจริงหรือไม่ และเทคโนโลยีนี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าสังคมอย่างไร คงต้องรอติดตามต่อไป