เอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC) วางเป้าหมายขยายรายได้ MFEC ปี 2024 โต 11.4% ทะลุ 6,734 ล้านบาท คาดโซลูชันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จะส่วนแบ่ง 25% ของรายได้รวม ยอมรับตลาดวางระบบไอที หรือ SI เริ่มอิ่มตัวจึงปรับทัพให้มีบริการมากขึ้น ล่าสุดวางดาวรุ่งที่ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ หรือ CSOC หวังเป็นตัวตึงชิงเค้ก 10% ของตลาดไซเบอร์ซีฃิเคียวริตีไทย
นายดำรงศักดิ์ รีตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์หรือ CSOC (Cyber Security Operations Center) จะเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของบริษัทที่พร้อมขยายฐานลูกค้าอย่างจริงจังในปี 2024 ปัจจุบันมีฐานลูกค้า 6 รายทั้งในอุตสาหกรรมด้านการเงินและองค์กรภาคสาธารณะ เงินลงทุนเบื้องต้นประเมินค่าไม่ได้เพราะเป็นการต่อยอดจากประสบการณ์ 4 ปีของบุคลากรที่ทำงานในโปรเจกต์ยักษ์
"CSOC ของเราเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่ไม่ใช่น้องใหม่ในวงการ เรามีลูกค้าให้บริการอยู่แล้ว เงินลงทุนเราผันไปตามลูกค้า เติบโตตามบริการที่ลูกค้าโต เม็ดเงินลงทุนจะเปลี่ยนแปลงตามลูกค้าที่เข้ามา ตรงนี้เราลงทุนต่อเนื่องเกือบ 4 ปีจาก 2 โปรเจกต์ที่ทำอยู่ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล"
การเปิดบริการ CSOC จะทำให้ MFEC มีคู่แข่งโดยตรงคือ "ไซเบอร์ อีลีท" ในกลุ่มเบญจจินดา ซึ่งเคยประกาศว่าจะขึ้นอันดับ 1 ผู้ให้บริการ CSOC ในไทยได้ภายใน 3 ปี และอีกหลายบริษัทที่ให้บริการศูนย์ป้องกันภัยไซเบอร์แก่องค์กรไทย สำหรับ MFEC นั้นคาดหวังว่าจะทำเงินจากธุรกิจไซเบอร์ซิเคียวริตีราว 1,500 ล้านบาทในปี 2024 ซึ่งแม้จะเป็น ตัวเลขเดียวกับที่เคยประกาศไว้ในปี 2023 แต่คิดเป็นสัดส่วนเกิน 10% ของมูลค่าตลาดรวมไซเบอร์ซิเคียวริตีไทย 14,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก Mordor Intelligence)
ภาพรวมตลาดความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศไทย 14,000 ล้านบาทนี้เป็นผลจากอัตราเติบโตต่อเนื่อง 14.10% ตั้งแต่ปี 2022 ปัจจัยหลักคืออัตราภัยไซเบอร์และความท้าทายรูปแบบใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความเสียหายรุนแรงขึ้น ผนวกกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคเศรษกิจและสังคมดิจิทัล ซึ่งผลักดันให้องค์กรจำต้องหาโซลูชันที่มีประสิทธิภาพ และเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์การตอบโต้เชิงรุกในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์อย่างเทคโนโลยี AI อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดำรงศักดิ์ ย้ำว่าพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ยังมีส่วนกระตุ้นความต้องการของศูนย์ป้องกันภัยไซเบอร์ CSOC ในไทยตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ทำให้จากที่มีเพียงธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม หรือหน่วยงานขนาดใหญ่ที่ลงทุนจริงจัง แต่หน่วยงานขนาดกลางในภาคสาธารณะเริ่มให้ความสำคัญแม้ยังลังเลที่จะจัดตั้งศูนย์ CSOC ของตัวเอง โดยนอกจาก CSOC ปัจจุบัน MFEC มีการร่วมมือกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขและภาคการศึกษา รวมถึงมีการจัดการแข่งขันเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี ซึ่งล่าสุดมีเยาวชนให้ความสนใจจำนวนมาก โดยเฉพาะจากเหล่าทัพไทยที่ส่งสัญญาณให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรต่อเนื่อง
สำหรับกระแส AI ดำรงศักดิ์ชี้ว่าความนิยมในปัญญาประดิษฐ์มีส่วนเสริมให้ MFEC ทำรายได้และจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น เนื่องจากลูกค้ามีความเข้าใจสินค้ากลุ่ม AI ที่ทำตลาดมานานแล้วได้มากขึ้นกว่าในอดีต โดยปัจจุบัน บริษัทมีความร่วมมือในงานวิจัย AI กับสถาบันการศึกษาทั้งกับหน่วยงานไทยและญี่ปุ่น คาดว่าจะมีการพัฒนาเพื่อยกระดับ CSOC ของบริษัทขึ้นอีก
นายก่อกนก ภัทรเมธาวรกุล ผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า MFEC ต้องปรับตัวเพื่อสู้กับตลาด SI (System Integrator) ที่มีการแข่งขันสูงมากในไทย จึงมีการทรานส์ฟอร์มบริษัทให้มีบริการมากขึ้น ทำให้ส่วนต่างรายได้และต้นทุนต่างไปจากเดิม บริหารต้นทุนได้ดีขึ้น และอยู่รอดได้ท่ามกลางคู่แข่ง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจฝืด โดยบริษัทตั้งเป้าว่าในปี 2567 ภาพรวมกลุ่มธุรกิจ MFEC จะมีรายได้เติบโตเฉลี่ยทบต้นต่อปี (CAGR) 11.4% จากปีที่ผ่านมา หรือมีรายได้ 6,734 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มไซเบอร์ซิเคียวริตีประมาณ 25%
ธุรกิจไซเบอร์ซิเคียวริตีที่มีทีมงาน 120 คน เป็น 1 ใน 4 หน่วยธุรกิจหลักของ MFEC โดยอีก 3 หน่วยประกอบด้วยธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่าย ซึ่งรวมธุรกิจด้านคลาวด์ นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจด้านเอาต์ซอร์ส และธุรกิจเกี่ยวกับข้อมูลที่รวมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไว้ด้วย ทีมงานในหน่วยธุรกิจนี้มีจำนวนรวม 400 คน โดย MFEC มีการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือ LLM ของตัวเองตั้งแต่ต้นปี 2024