คณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของทรู คอร์ปอเรชั่น เดินทางเยือนสำนักงานใหญ่ของเทเลนอร์ กรุ๊ป ประเทศนอร์เวย์ เพื่อเยี่ยมชมนวัตกรรมบริการดิจิทัลและการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยใช้งานในตลาดภูมิภาคนอร์ดิก ทั้งนี้ เทเลนอร์ กรุ๊ปและเครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทรู คอร์ปอเรชั่น ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 30.1 ร่วมกันทั้งสองบริษัท
การเยือนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน และเพื่อให้ผู้บริหารได้เรียนรู้กรณีศึกษาการใช้งานจริงและมุมมองเชิงลึกในด้านเครือข่ายแห่งอนาคต ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และโอกาสใหม่ทางธุรกิจนอกเหนือจากการสื่อสารโทรคมนาคม
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการสร้างระบบนิเวศสำหรับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว และช่วยผลักดันประเทศไทยก้าวเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค ภูมิทัศน์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) เรายังเผชิญกับความท้าทายจากการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) และการบังคับลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) หรือที่เรียกว่าความท้าทาย 3D
ดังนั้น บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอย่างทรู คอร์ปอเรชั่น จึงต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ อีกทั้งยังต้องพัฒนาดิจิทัลโซลูชันที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองการลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศ พร้อมนำพาประเทศไทยก้าวสู่ระบบใหม่ของห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) นอกจากนี้ เรายังต้องทุ่มเทเพื่อส่งมอบนวัตกรรมเติมเต็มการใช้ชีวิตดิจิทัลใหม่ๆ อย่างยั่งยืนให้แก่ลูกค้า
ซึ่งการมาเยือนเทเลนอร์ กรุ๊ป พันธมิตรอุตสาหกรรมของเราครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ทรู คอร์ปอเรชั่น จะได้เรียนรู้ประสบการณ์อันทรงคุณค่าของเทเลนอร์ ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโทรคมนาคมระดับโลก รวมทั้งได้ศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีของเทเลนอร์ กรุ๊ปมากกว่า 250 ยูสเคสทั่วโลก ซึ่งผมมั่นใจว่าการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับเทเลนอร์ กรุ๊ป จะส่งผลต่อการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย”
นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ กรุ๊ป กล่าวว่า เทเลนอร์มุ่งมั่นที่จะนำการเรียนรู้และประสบการณ์จากการดำเนินงานทั่วโลกสู่ประเทศไทย โดยทรู คอร์ปอเรชั่นมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้บุกเบิกด้านดิจิทัล และเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของไทย และผมเชื่อว่าความร่วมมือระหว่างกันจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์และสร้างแรงบันดาลใจให้พัฒนาบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าและธุรกิจไทยต่อไป ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณะทรู คอร์ปอเรชั่นที่สำนักงานของเราในนอร์เวย์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและมุมมองที่มีคุณค่า หาแนวทางสร้างสรรค์ร่วมกัน
ทั้งนี้ หนึ่งปีหลังจากทรูและดีแทคได้ควบรวมกิจการสู่ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” การผสานรวมกันได้ก้าวสู่ผู้นำในการให้บริการ 5G รายใหญ่ที่สุดในไทย ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งยังมุ่งสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อสร้างจุดแข็งและความพร้อมในการขยายธุรกิจนอกเหนือจากการสื่อสาร เช่น อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และโซลูชันอัจฉริยะสำหรับองค์กรและอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย
นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมเปิดประสบการณ์ 5G ใหม่ จากการเยี่ยมชมท่าเรือฮอร์เทนเพื่อชมการใช้ 5G ในภาคการขนส่งทางทะเลที่ช่วยให้เรือสามารถขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมโรงพยาบาล Radium ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรักษาโรคมะเร็งระดับแนวหน้า เพื่อชมการผสมผสานระหว่างศักยภาพเทคโนโลยี 5G และ IoT ที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมการดูแลสุขภาพแบบเดิม ด้วยการเชื่อมต่อสื่อสารที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งโซลูชันที่ปลอดภัยมั่นใจได้สำหรับการผ่าตัดทางไกล การแพทย์ทางไกล และการติดตามการรักษาผู้ป่วยแบบเรียลไทม์
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศแผนดำเนินการเร่งพัฒนาการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า พัฒนาการให้บริการ และยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของประเทศไทย อนึ่ง เทเลนอร์กรุ๊ปได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการ AI แห่งแรกในปี พ.ศ.2555 และได้มีส่วนช่วยขับเคลื่อนวาระด้าน AI ในยุโรปและกลุ่มประเทศนอร์ดิก ล่าสุดเทเลนอร์ได้ประกาศความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้าน AI และความร่วมมือกับบริษัท NVIDIA ซึ่งทำให้เทเลนอร์กรุ๊ปสามารถกลายเป็นพันธมิตรผู้ให้บริการคลาวด์ AI อิสระได้โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้าน AI คลาวด์ และเทคโนโลยีเครือข่ายของ NVIDIA
