อิทธิพลของ Generative AI จะทำให้รูปแบบการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มของธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2024 แล้วองค์กรธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สามารถนำประโยชน์ของ AI มาใช้งาน ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ผ่านมุมมองของบลูบิค (Bluebik) ที่สรุปออกมาเป็น 4 แกนหลักที่องค์กรต้องทำเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ปัจจุบันองค์กรธุรกิจอยู่กับคำว่าดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันมากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งที่ผ่านมากลายเป็นว่าการทรานส์ฟอร์มส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น แต่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างที่จะนำดิจิทัลมาเป็นแกนของธุรกิจ
ทำให้ในปี 2024 ที่จะถึงนี้ ต้องมีการปรับภาพครั้งใหญ่ของการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันที่มีความเข้มข้นมากขึ้น ไม่ใช่แค่ทำให้ธุรกิจมาใช้งานดิจิทัล แต่ต้องลึกเข้าไปถึงการนำดิจิทัลมาเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ เพื่อที่จะนำไปใช้สร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ ธุรกิจที่ยังมองการทำ Digital Transformation ในลักษณะเดิมก็จะเสียเปรียบ
โดย 3 เหตุผลสำคัญที่บลูบิคเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยน เกิดจาก 1.การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ โดยเฉพาะการทำธุรกิจแบบไร้พรมแดน และข้ามอุตสาหกรรม 2.พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้จ่ายกำลังเปลี่ยนผ่านสู่กลุ่ม Gen Z และ 3.รูปแบบการทำงานที่ผู้คนเริ่มมองหาความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต เริ่มทำงานแบบฟรีแลนซ์มากขึ้น
“ทุกวันนี้การแข่งขันข้ามประเทศเกิดขึ้นใกล้ตัวขึ้นเรื่อยๆ อย่างการสั่งซื้อของจากแพลตฟอร์มต่างๆ มีสินค้ามาจากต่างประเทศหรือในธุรกิจสื่อมีผู้ให้บริการจากต่างประเทศเข้ามาแข่ง อย่างบรรดาแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ขณะเดียวกัน จะเห็นธนาคารเข้ามาทำธุรกิจไลฟ์สไตล์มากขึ้น ทำให้กลายเป็นว่าธุรกิจที่ไม่ได้มีการสร้างความต่างก็แข่งขันได้ยากขึ้น”
ถัดมาในแง่ของกลุ่มลูกค้า ที่ขยับเข้าสู่ Gen Z เกิดในยุคปี 2000 ที่อยู่ในวัยเริ่มสร้างตัว และมีรายได้ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีนิสัยในการจับจ่ายค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนอาจเพราะการสะสมทรัพย์สินจากครอบครัว สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป โซเชียลมีเดียเข้ามาทำให้เกิดการเปรียบเทียบ และกลุ่มนี้ถือว่ามีระยะเวลามากที่สุดทั้งช่วงเวลาทำงาน สร้างรายได้ และใช้จ่ายในธุรกิจต่างๆ
“กลุ่ม Gen Z จะมีความน่าสนใจมากในอนาคตอันสั้นนี้ เพราะมีลักษณะของการใช้จ่าย บุคลิกที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นอย่างชัดเจน เนื่องจากเติบโตมาโดยใช้ดิจิทัลเป็นหลัก ทำให้ถ้าใช้วิธีการแบบเดิมๆ อาจเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้ยาก และในอนาคตกลุ่มนี้จะมีแรงในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
นอกจากนี้ ยังพบการเติบโตของกลุ่มคนทำงานแบบฟรีแลนซ์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันแม้แต่พนักงานบริษัทก็ต้องการทำงานแบบไฮบริด เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีความรักอิสระมากขึ้น ทำให้คนไม่ได้ผูกพันกับองค์กรใด องค์กรหนึ่งเป็นพิเศษ โอกาสในตลาดข้างนอกมีสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้าธุรกิจที่ไม่ได้ปรับตัวเกิดความลำบาก
ขณะเดียวกัน ในแง่ของสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงปีหน้า หลังจากการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของรัฐบาลสหรัฐฯ ยิ่งทำให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว ทำให้ธุรกิจมีความท้าทาย ผู้บริหารในหลายๆ อุตสาหกรรม ระมัดระวังในการลงทุนจากสภาพเศรษฐกิจ ดังนั้น การปรับแนวทางของการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันเพื่อหาสิ่งที่ทำให้ธุรกิจเติบโตต่อได้ ท่ามกลางความท้าทายจึงมีความสำคัญมากขึ้น
*** 4 แกนยกเครื่องธุรกิจยุค Digital-First World
พชร มองถึงปัญหาที่ผ่านมาว่า ธุรกิจหลายแห่งที่ทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มจะไม่ได้เป็นการลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ที่สามารถนำการทรานส์ฟอร์มนั้นมาสร้างให้เกิดโอกาสทางธุรกิจในอนาคตได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน หรือบางธุรกิจยังยึดติดกับเงินลงทุนที่เสียไปแล้วในธุรกิจเดิม จึงทำให้การทรานส์ฟอร์มที่เกิดขึ้นไม่สมบูรณ์
ในปี 2024 นี้ ทุกธุรกิจที่มองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง จะเริ่มมีการลงทุนโดยเฉพาะในเรื่องของ AI อย่างการนำ Generative AI เข้ามาช่วยให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นแกนที่ 1 Augmented Intelligence ที่จะกลายเป็นแกนหลักของการทำธุรกิจในอนาคต
“การนำ AI มาเป็นแกนในมุมของบลูบิค ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาเพียงอย่างเดียว แต่จะผสานการทำงานร่วมกับมนุษย์ เพราะ AI เป็นเพียงเครื่องมือที่มนุษย์เข้าไปสั่งการ ยิ่งสั่งการได้ดีจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว”
ถัดมาในแกนที่ 2 Digital Ecosystems ในการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เชื่อมโยงเข้าหากัน โดยเฉพาะการทำ Multiexperience (MX) เพื่อที่ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อเข้ามาจากช่องทางใดก็สามารถให้บริการได้เท่ากัน ซึ่งในจุดนี้การมี AI เข้ามาจะช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการแบบเฉพาะบุคคลได้ง่ายขึ้น
ส่วนในฝั่งขององค์กรต้องมีการปรับรูปแบบการลงทุนดิจิทัลให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งบลูบิคเรียกว่าเป็นรูปแบบของ Event-Driven Nano Architecture (EDNA) ที่สามารถเพิ่มและลดการใช้งานบริการในแต่ละส่วนได้อย่างรวดเร็ว และสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจได้ทุกแง่มุม
อีกปัญหาที่ตามมาจากการใช้งานดิจิทัลคือเรื่องของภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่เป็นแกนที่ 3 ในเรื่องของ Digital Immunity and Trust ซึ่งในส่วนนี้การมี AI จะเข้ามาช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตี เพราะสามารถวิเคราะห์ และประเมินรูปแบบภัยคุกคาม รวมถึงสามารถใช้ในการแจ้งเตือนผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นไม่ให้ลุกลามไปในวงกว้าง
สุดท้ายแกนที่ 4 Sustainability Technologies ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยออกแบบ หรือแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม อย่างการนำ AI มาใช้เฝ้าสังเกต และคาดการณ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือในอนาคตเมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายทางด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น องค์กรธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ และการทำรายงานด้าน ESG มาช่วย
จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 แกนหลักเป็นการผสมผสานในการนำ AI เข้ามาเป็นแกนหลัก ช่วยทรานส์ฟอร์มให้องค์กรธุรกิจสามารถเท่าทันถึงทิศทางที่จะเกิดขึ้น และหาโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเป็นที่แน่นอนว่าในปี 2024 นี้จะเริ่มเห็นการลงทุนจากธุรกิจขนาดใหญ่ๆ ที่มีความพร้อมก่อน ส่วนในธุรกิจ SMEs แนะนำให้เริ่มเข้าไปศึกษาถึงการนำ Gen AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และมองหาแนวทางที่เหมาะสมก่อนที่จะลงทุน