“เทนเซ็นต์ คลาวด์” (Tencent Cloud) เดินหน้าเสริมแกร่งสตาร์ทอัปไทย วางกลยุทธ์สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วย Tencent Cloud Startup Program ระบุสตาร์ทอัปที่ผ่านการพิจารณา และชำระค่าบริการแบบรายเดือนจะสามารถรับส่วนลด 40%
มร.ชาง ฟู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่าจากรายงานของ Deloitte เผยว่าระบบนิเวศของสตาร์ทอัปไทยได้ถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 11 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และอันดับที่ 4 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีอุตสาหกรรมฟินเทค อีคอมเมิร์ซ และโซลูชันทางธุรกิจ เป็นอุตสาหกรรมหลักในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของสตาร์ทอัปจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับเศรษฐกิจของประเทศ
"ธุรกิจสตาร์ทอัปจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและระบบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทนเซ็นต์ คลาวด์ กลุ่มธุรกิจคลาวด์ภายใต้บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่างเทนเซ็นต์ จึงพร้อมให้การสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัปในทุกระดับ ผ่านโซลูชันและเทคโนโลยีต่างๆ ที่หลากหลาย โดยสามารถปรับแต่งโซลูชันที่ครอบคลุมทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ เรายังมีบริการที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในส่วนต่างๆ เพื่อยกระดับขีดความสามารถให้สตาร์ทอัปไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประเทศไทย"
ท่ามกลางยุคดิจิทัลในปัจจุบันนี้ เทนเซ็นต์มองว่าธุรกิจสตาร์ทอัปได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศ จากศักยภาพในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด
ด้วยเหตุนี้ เทนเซ็นต์ คลาวด์ ในฐานะ Digital Enabler พร้อมให้การสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัปไทยผ่านโปรแกรม Tencent Cloud Startup Program ซึ่งจะช่วยสนับสนุนในด้านต่างๆ ให้สตาร์ทอัปสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ รวมถึงเทคโนโลยีคลาวด์และเอไอที่หลากหลาย
สำหรับ Tencent Cloud Startup Program เป็นโปรแกรมที่นำเสนอแก่สตาร์ทอัปที่ใช้เงินทุนของตนเองและสตาร์ทอัปที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันทางการเงิน ให้สามารถใช้ประโยชน์จากบริการและโซลูชันของเทนเซ็นต์ คลาวด์ผ่านการสนับสนุนในด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการมอบบัตรกำนัลมูลค่าสูงสุดถึงหนึ่งแสนเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติที่ผ่านการพิจารณา) ส่วนลดค่าบริการ การฝึกอบรม และโอกาสทางการตลาดอีกมากมาย
สตาร์ทอัปสามารถใช้บัตรกำนัลดังกล่าวกับโซลูชันคลาวด์หลากหลายประเภทที่ครอบคลุมทั้งบริการ IaaS PaaS และ SaaS ในส่วน Infrastructure as a Service (IaaS) จะสามารถใช้บริการหลักด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์สำหรับสตาร์ทอัป เช่น TDSQL โซลูชันฐานข้อมูลแบบกระจายที่ครอบคลุมทุกการใช้งาน ซึ่งมาพร้อมกับคุณสมบัติต่างๆ ได้แก่ มีความสอดคล้องกับระบบระดับสูง มีความพร้อมและประสิทธิภาพสูงในการใช้งาน อีกทั้งยังออกแบบให้สามารถรองรับการใช้งานได้ทั่วโลก สามารถปรับสเกลความต้องการแบบกระจายแนวนอน รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กรแบบเหนือขั้น
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับบริการต่างๆ เช่น ระบบ DBA อัจฉริยะ ฟังก์ชันแบบอัตโนมัติ และระบบการตรวจสอบและการแจ้งเตือนด้วย
ในอีกด้าน เทนเซ็นต์ คลาวด์ยังมอบส่วนลดให้สตาร์ทอัปที่ซื้อโซลูชัน Cloud Virtual Machine (CVM) ในปีแรก โดย CVM เป็นบริการคลาวด์คอมพิวติ้ง ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกเพิ่มหรือลดจำนวนทรัพยากรที่ใช้ในการประมวลผลได้ตามความต้องการในการใช้งาน และเก็บเงินตามจำนวนทรัพยากรที่ใช้งานจริง สตาร์ทอัปที่ใช้เงินทุนของตนเองและสตาร์ทอัปที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันทางการเงินที่ผ่านการพิจารณา และชำระค่าบริการแบบรายเดือนจะได้รับส่วนลด 40% ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 40,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ และ 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
สำหรับ Platform as a Service (PaaS) จะประกอบด้วยบริการด้านแพลตฟอร์มที่รองรับการขยายตัวให้แก่สตาร์ทอัป ทั้ง FR-eKYC ใช้เทคโนโลยี AI ชั้นนำของเทนเซ็นต์ มาช่วยการจดจำเอกสาร การตรวจจับใบหน้า และการเปรียบเทียบใบหน้า เพื่อยกระดับกระบวนการตรวจสอบตัวตนให้มีความรวดเร็วและแม่นยำ ผ่านอัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์
ขณะที่ Software as a Service (SaaS) จะรวมทั้งผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์แบบครอบคลุมบนคลาวด์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านอุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือเว็บเบราว์เซอร์ได้อย่างปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย ด้วยซอฟต์แวร์ของเทนเซ็นต์ คลาวด์ ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งฟีเจอร์และฟังก์ชันให้ตรงกับความต้องการในการใช้งาน หรือกระบวนการทำงานต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายในการดำเนินงานและขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เทนเซ็นต์ คลาวด์ มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนธุรกิจทุกขนาดในทุกอุตสาหกรรม พร้อมให้บริการด้านโซลูชันที่หลากหลายมากกว่า 400 รายการผ่านความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานจากพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุม 70 พื้นที่ใน 26 ภูมิภาคทั่วโลก และการมีดาต้าเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยถึง 2 แห่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการคลาวด์ ความยืดหยุ่น และการรองรับต่อสถานการณ์ต่างๆ ตลอดจนมีทีมงานคนไทยที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้การสนับสนุน และคำแนะนำต่างๆ แก่ผู้ใช้บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดและช่วยให้การดำเนินธุรกิจของลูกค้าในยุคดิจิทัลเป็นไปอย่างราบรื่น” มร.ชาง กล่าวสรุป