xs
xsm
sm
md
lg

‘Vision Pro’ เทคโนโลยี Apple เปลี่ยนโลก?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทิม คุก ซีอีโอ แอปเปิล
ย้อนไปในปี 2013 โลกได้รู้จักอุปกรณ์ที่เรียกว่า ‘แว่นตาอัจฉริยะ’ จากการเปิดตัว Google Glass ที่เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ล้ำสมัย ในการนำจอแสดงผลมาให้ใช้งานผ่านการสวมใส่แว่นตา ก่อนท้ายที่สุดกูเกิล จะยุติการขาย และเลิกทำตลาดอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ก่อนที่แอปเปิล (Apple) กลับมาเรียกกระแสความสนใจของผู้บริโภคอีกครั้งในการเป็นอุปกรณ์อย่าง ‘แว่นตาอัจฉริยะ’ ด้วย Vision Pro ที่ในรอบนี้แอปเปิลมั่นใจว่าจะกลายเป็นยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แน่นอนว่า Vision Pro ยังต้องเผชิญกับคำถาม และความท้าทายอีกมากในการเป็นดีไวซ์ใหม่ที่จะมาเปลี่ยนโลกอีกครั้ง เหมือนที่ก่อนหน้านี้เคยประสบความสำเร็จกับการพัฒนา iPhone หรือ iPad ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้งานในชีวิตประจำวันของทุกคนในตอนนี้


ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล ใช้พื้นที่ในงานประชุมนักพัฒนาประจำปี WWDC23 ประกาศถึงความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และช่วยให้บรรดานักพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันอีโคซิสเต็มนี้ให้เกิดขึ้นไปพร้อมกัน

“ที่ผ่านมา แอปเปิลได้นำเสนอให้แมคกลายเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ตามด้วยไอโฟนในการเป็นคอมพิวเตอร์พกพา และเชื่อว่า Apple Vision Pro จะกลายเป็นคอมพิวเตอร์ในยุคอนาคตที่แอปเปิลนำความเชี่ยวชาญหลายสิบปีมาใช้ เพื่อผลักดันให้เกิดนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานคอมพิวเตอร์ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”



Apple Vision Pro
ทิม เชื่อว่า Apple Vision Pro จะเข้ามาเปลี่ยนมุมมองของเทคโนโลยี และบทบาทที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต จากผลิตภัณฑ์ที่จะมาปฏิวัติรูปแบบการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มีเพียงแอปเปิลเท่านั้นที่สามารถส่งมอบได้

“Apple Vision Pro พร้อมกับระบบปฏิบัติการ visionOS ได้เข้ามานำเสนอแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์เชิงพื้นที่รูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ใช้ และเปิดโอกาสอีกมากให้แก่นักพัฒนา เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ยุคต่อไปเท่านั้น”

***ก้าวเข้าสู่ประสบการณ์เชื่อมโลกเสมือนจริง

ในช่วงที่ผ่านมาเราอาจคุ้นเคยกับการสร้างโลกเสมือนอย่าง Metaverse ของทาง Meta ที่นำเสนอด้วยการสร้างตัวตนขึ้นในโลกแห่งจินตนาการเพื่อใช้ในการสื่อสารร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะการเข้าถึงคอนเทนต์ด้านความบันเทิงต่างๆ ทำให้ภาพของการใช้งาน Spatial Computer ในปัจจุบันจะอยู่กับการนำไปใช้เพื่อสร้างความบันเทิง โดยเฉพาะการเข้าถึงเกม 3 มิติ ที่ให้ประสบการณ์เล่นแบบเต็มตาเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนที่แยกออกจากโลกแห่งความเป็นจริงอย่างชัดเจน

กลับกันรูปแบบการนำเสนอของ Vision Pro ที่แอปเปิลนำมาใช้จะเน้นการสื่อสารให้เห็นถึงรูปแบบการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการทำงาน การสื่อสารต่างๆ ก่อนที่จะปูทางไปเป็นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงซึ่งกลายเป็นความสามารถพื้นฐานที่สามารถใช้งานได้อยู่แล้ว

ลักษณะการใช้ Apple Vision Pro
สิ่งที่ทำให้ แอปเปิล โดดเด่นขึ้นมาในโลกของ Spatial Computer คือการที่มีอีโคซิสเต็มที่แข็งแรงทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ แตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นในท้องตลาดที่อาจจะมีความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถนำเสนอประสบการณ์ใช้งานที่รอบด้านได้

เพราะเพียงแค่แอปพลิเคชันพื้นฐานที่แอปเปิลมี ไม่ว่าจะเป็นเว็บเบราว์เซอร์ Safari โปรแกรมดูรูปภาพ Photos สมุดจดโน้ต การเข้าถึงอีเมล ข้อความ แอปพลิเคชันเกี่ยวกับการทำงานอย่าง Keynotes Pages Numbers และความบันเทิงอย่าง Apple TV และ Apple Music ก็สามารถตอบรับการใช้งานทั่วไปได้อย่างครบถ้วนแล้ว

แน่นอนว่าถ้ามีดีไวซ์แต่ไม่มีคอนเทนต์มาให้ใช้งานจะทำให้แพลตฟอร์มยังไม่สมบูรณ์ แอปเปิล เลยทำความร่วมมือกับดิสนีย์ ที่ปัจจุบันมีคอนเทนต์ภาพยนต์ และซีรีส์ให้บริการจำนวนมากผ่านบริการอย่าง Disney+ มาประกาศความพร้อมในการพัฒนาให้แอปพลิเคชันรองรับการใช้งานบน Vision Pro ทันทีที่วางจำหน่าย

นอกจากนี้ ถ้ามองในแง่ของความบันเทิงเพิ่มเติม ผู้ใช้งาน Apple Arcade ที่เป็นบริการเล่นเกมแบบบอกรับสมาชิกของแอปเปิล ก็สามารถเชื่อมต่อกับจอยเกมอย่าง Xbox หรือ Playstation เพื่อใช้งานร่วมกับ Vision Pro ได้ทันที เพราะปัจจุบันดีไวซ์ในอีโคซิสเต็มรองรับการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธอยู่แล้ว



กล้องและเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่อยู่รอบแว่นเพื่อจับภาพ และการเคลื่อนไหวเข้าไปแสดงผลภายใน
ความน่าสนใจยังไม่หมดแค่นั้น เพราะแอปเปิล ยังได้สาธิตถึงรูปแบบการนำไปใช้ควบคู่กับการทำงานทั้งในระดับมืออาชีพที่สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แมค และใช้พื้นที่แสดงผลทั้งหมดเป็นผืนผ้าใบในการเปิดหน้าต่างทำงานร่วมกัน เปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากการต่อคอมพิวเตอร์กับหน้าจอมอนิเตอร์หลายเครื่อง มาเป็นหน้าจอที่ลอยอยู่รอบตัวแทน

ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่คอนเทนต์ในรูปแบบ 2 มิติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแสดงผลในรูปแบบ 3 มิติด้วย ซึ่งที่ผ่านมาแอปเปิลพยายามที่จะผลักดันโมเดล AR ให้ผู้คนได้สัมผัสรูปแบบการใช้งานกันทั้งบน iPad Pro จนถึง iPhone ที่มีเซ็นเซอร์วัดระยะพื้นที่ LiDAR มาให้ใช้งาน

ประกอบกับเทรนด์ของการทำงานนอกสถานที่ ทำให้การใช้งาน Vision Pro เข้ามาตอบโจทย์ในแง่ของการทำงานได้จากทุกที่ แม้แต่การประชุมออนไลน์ผ่าน FaceTime ที่จะให้รูปแบบการสนทนาเหมือนนั่งประชุมอยู่ในห้องเดียวกัน แม้กระทั่งการใช้งานระหว่างเดินทางอย่างบนเครื่องบินที่สามารถเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สาย AirPods เพื่อรับชมภาพยนต์ หรือซีรีส์ โดยที่ไม่ถูกรบกวนจากรอบข้าง

“นี่เป็นเพียงรูปแบบการใช้งานเบื้องต้นของ Vision Pro ที่สามารถผสมผสานดิจิทัลคอนเทนต์เข้ากับพื้นที่โดยรอบ ออกมาแสดงผลได้อย่างกลมกลืนและจะกลายเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ได้ใช้งานกันในอนาคต”


ทั้งนี้ เมื่อดูราคาจำหน่ายของ Vision Pro ต้องยอมรับว่า Apple ยังไม่ได้มองให้อุปกรณ์นี้เป็นดีไวซ์ที่เปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้ เพราะด้วยราคาเปิดตัว 3,499 เหรียญ หรือราว 1.2 แสนบาท ทำให้มีเฉพาะกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และมีกำลังซื้อในระดับพรีเมียมเท่านั้นที่จะเข้าถึง

กับอีกโจทย์ใหญ่ที่สำคัญคือการทำให้ทุกคนเข้าใจถึงรูปแบบ และวิธีการใช้งานที่พรีเซนต์ออกมาว่าดูใช้งานง่าย แต่เมื่อถึงเวลาวางจำหน่าย ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างในแง่ของการปรับเลนส์ให้เหมาะกับระยะสายตาของแต่ละบุคคล ทำให้ในช่วงแรกจะเริ่มทำตลาดเฉพาะในสหรัฐฯ ก่อนขยายไปยังกลุ่มประเทศอื่นต่อไป

***สิ้นสุดการเปลี่ยนผ่านสู่ Apple Silicon

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของ แอปเปิล คือการเปลี่ยนผ่านคอมพิวเตอร์แมค ที่จากเดิมใช้หน่วยประมวลผลของ Intel มาสู่การใช้งานชิปเซ็ต Apple Silicon ครบในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์แล้ว

ตัวอย่างภาพที่มองเห็น เมื่อสวม Apple Vision Pro


ย้อนไปในงานประชุมนักพัฒนา WWDC ปี 2020 แอปเปิลได้เปิดตัวชิปเซ็ต Apple M1 รุ่นแรกออกสู่สาธารณะ ก่อนประกาศวางจำหน่ายแล็ปท็อป MacBook รุ่นแรกที่ใช้ชิป M1 ในช่วงปลายปี 2020 ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรมราว 2 ปี

จนในที่สุดหลังการเปิดตัว Mac Pro ที่มากับชิป M2 Ultra ชิปเซ็ตที่ประสิทธิภาพสูงที่สุดของแอปเปิล เมื่อรวมกับความอเนกประสงค์ของช่องต่อขยาย PCIe ทำให้ Mac Pro เร็วขึ้นสูงสุด 3 เท่า เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel โดยในปัจจุบันแอปเปิล วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชิป Apple Silicon ครอบคลุมทั้ง MacBook Air, MacBook Pro, iMac, Mac mini, Mac Studio และ Mac Pro ที่มีตัวเลือกตั้งแต่ Apple M1 ต่อเนื่องมายัง Apple M2, Apple M2 Pro, Apple M2 Max และ Apple M2 Ultra เพื่อให้ครอบคลุมระดับการทำงานตั้งแต่ผู้ใช้งานทั่วไป จนถึงระดับมืออาชีพ ในราคาเริ่มต้นราว 20,000 บาท ไปจนถึง 3.4 แสนบาท

ปัจจุบันแอปเปิลวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชิป Apple Silicon ครอบคลุมทั้ง MacBook Air


กำลังโหลดความคิดเห็น