แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ (ASPHERE) เทเงินลงทุนหนุน “บิ๊กส์แบง ทิออรีย์” (Big Bang Theory) เปิดตลาดแพลตฟอร์มบริการ Metaverse As-a-service รายแรกของโลก ชูจุดเด่นเป็นพื้นที่ให้ทุกคนสร้างโลกเสมือนจริงหรือเมตาเวิร์สของตัวเองแบบตกแต่งทุกอย่างได้โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม ตรึงราคารายเดือนหลักพันถึงหมื่นบาท ระดับเดียวกับบริการสร้างเว็บไซต์ มั่นใจดึงดูดให้เกิดการสร้าง 200 เวิร์สปีนี้บนรายได้เกิน 50 ล้านบาท ปีหน้าเล็งเปิดตลาด 5 ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป ดันยอดขายเพิ่มเป็น 100 ล้านบาท
นายกิตติพงศ์ พฤกษอรุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Blockchain & Innovation Technologies บมจ.แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ (ASPHERE) เปิดเผยถึงการลงทุนกับบริษัท Big Bang Theory ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่นำ Metaverse มาให้บริการในรูปแบบ Metaverse As-a-service รายแรกของโลก ว่าได้ลงทุนในสัดส่วน 27% ของหุ้นในบริษัท คาดว่า Big Bang Theory จะทำรายได้เติบโตในอัตรา 100% ต่อปี เนื่องจากมีพันธมิตรรายใหญ่ที่จะเป็นรีเซลเลอร์นำเสนอบริการบนคลาวด์หลายเจ้า เช่น หัวเว่ย (Huawei Cloud) และเทนเซ็นต์คลาวด์ (Tencent Cloud) ขณะเดียวกัน มีการประสานกับผู้ติดตั้งระบบ หรือ SI รายใหญ่ระดับโลก ทำให้ Big Bang Theory มีโอกาสเปิดตลาดโลกได้
"ถ้ามองว่าเมตาเวิร์สเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล อันนี้จะเป็นขาลง แต่ถ้ามองเป็นเครื่องมือด้านการตลาด นี่จะเป็นขาขึ้น ขนาดฟิลลิป คอตเลอร์ ยังบอกว่าเมตาเวิร์สคืออนาคตของเครื่องมือการตลาดยุคใหม่ที่จะต้องสามารถเชื่อมข้อมูลลูกค้าเข้ากับกิจกรรม แม้แต่มหาวิทยาลัยก็ต้องทำเมตาเวิร์ส เรามีการคุยกับมหาวิทยาลัยไทยหลายที่"
ASPHERE นั้นเป็นชื่อใหม่ของบริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นต้นสังกัดบริการเกมออนไลน์อย่างเพลย์พาร์ค เบื้องต้น กิตติพงศ์เผยว่า ASPHERE มีจุดยืนไม่เป็นแค่บริษัทเกม แต่จะเป็นบริษัทดิจิทัลเทคโนโลยี ที่จะมุ่งทำเซอร์วิสทุกกลุ่มสำหรับคอนซูเมอร์ ซึ่งนอกจากการลงทุนกับบิทคับในธุรกิจบล็อกเชน บริษัทยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีด้านการตลาดอย่างจริงจัง
สำหรับ Big Bang Theory นั้นเป็นบริษัทผู้พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลที่เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีเมตาเวิร์สตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว แม้จะล้มลุกคลุกคลาน แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าเมตาเวิร์สจะเป็นธุรกิจที่โต ทำให้เกิดฝันว่าต้องการพาเมตาเวิร์สไทยให้ก้าวไปสู่เมตาเวิร์สโลก
***งบไม่ถึง 100 ล้านบาท
นายพงศ์วุฒิ ไพรไพศาลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิ๊กส์แบง ทิออรีย์ ระบุว่าใช้งบประมาณในการพัฒนาโปรเจกต์ไม่มาก เนื่องจากเป็นการต่อยอดจากผลงานและความเชี่ยวชาญที่สะสมมาแต่เดิม เบื้องต้นมองว่างานใหญ่ที่ท้าทายต่อจากนี้คือการสร้างการรับรู้ว่าเมตาเวิร์สจะมาแทนที่เว็บไซต์ เนื่องจากสามารถสร้างประสบการณ์ที่เต็มอิ่มได้มากกว่า
"เป้าหมายปีนี้คือสร้างรายได้ 50 ล้านบาท และมีการสร้าง 200 เวิร์สทั้งผู้ใช้ไทยและเทศ นอกจากนี้ คือจะไปเปิดตลาด 5 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป ความท้าทายใหญ่ที่สุดคือการให้ความรู้ว่า เมตาเวิร์สไม่ได้มีแต่ Scam หรือภัยหลอกลวง"
พงศ์วุฒิ เชื่อว่า Big Bang Theory จะเป็นจุดกำเนิดของโลกใหม่ เนื่องจากความแตกต่างจากภาพเมตาเวิร์สในช่วงก่อนหน้านี้ จากเดิมผู้ให้บริการเมตาเวิร์สมักต้องการให้แบรนด์เข้ามาใช้พื้นที่ แต่มักเกิดภาวะผู้ใช้เข้ามาเดินเล่นแล้วเดินออก พงศ์วุฒิไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ จึงสร้างเป็นบริการ Metaverse As-a-service ที่ทุกคนสามารถเข้ามาสร้างจักรวาลของตัวเองได้ง่าย เหมือนในยุคหนึ่งที่โลกรู้จักเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ได้ง่ายแบบไม่ต้องมีการเขียนโปรแกรม
"เมตาเวิร์สไม่ตาย ตลาดโลกกำลังขึ้นมาเบาๆ เพราะอะไรไม่รู้ แต่เราได้เห็นข่าวลือเรื่องการเปิดตัวแว่นของแอปเปิล รวมถึงโซนี่ และบริษัทฮาร์ดแวร์อื่นที่มีข่าวว่าจะเปิดตัวอุปกรณ์ ซึ่งอาจจะไม่ได้เรียกว่าเมตาเวิร์สก็ได้” พงศ์วุฒิเล่า
พงศ์วุฒิย้ำถึงแนวคิดการพัฒนา Big Bang Theory ว่าวันนี้ไม่มีเครื่องมือการตลาดไหนที่จะสร้าง empathy ให้เข้าถึงใจลูกค้าได้มากเท่าเมตาเวิร์สอีกแล้ว แต่จากที่ Big Bang Theory มีประสบการณ์ทำเมตาเวิร์สบ่อยครั้ง พบว่าบางบริษัทใช้เงินลงทุนมาก 3-4 ล้านบาทกลับไม่สามารถสร้างฟีเจอร์ได้มากนัก ขณะเดียวกัน การบอกให้แบรนด์เข้ามาสร้างคอมมูนิตีร่วมกันบนเมตาเวิร์สยังถือเป็นเรื่องยากในอดีต เหมือนไก่กับไข่ที่แบรนด์ไม่เข้ามาเพราะไม่มีผู้ชม และผู้ชมก็ไม่เข้ามาหากแบรนด์ไม่มา นอกจากนี้ บางแบรนด์ยังมีความนิยมไม่เหมือนกัน ทั้งหมดนี้ทำให้ Big Bang Theory มีแนวคิดให้บริการเป็นเน็ตเวิร์กอินฟราสตรักเจอร์แรกของโลกสำหรับเมตาเวิร์สที่อนุญาตให้ผู้ใช้เลือกใช้ฟีเจอร์ที่ต้องการได้โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมใด เป็นเมตาเวิร์สให้ทุกคนตกแต่งได้เองทุกอย่าง มีโมเดลหยิบมาวางได้ทันที โดยสามารถซื้อ asset จากมาร์เก็ตเพลส แต่ละเวิร์สจะสามารถเชื่อมหรือไม่เชื่อมกันได้ด้วยการคลิก ทั้งหมดคิดค่าบริการจ่ายรายเดือน มีการเชื่อมเพย์เมนต์เกตเวย์ไทย คาดว่าจะสามารถจ่ายด้วยเงินคริปโตฯ ในอนาคต
ผู้ใช้ Big Bang Theory ไม่เพียงสามารถเดินในเวิร์สที่สนใจ แต่ยังสามารถเล่นเกม หรือคลิกที่อวตาร์ของเพื่อนเพื่อทำวิดีโอคอลได้ สามารถใช้แทนระบบประชุมทางไกลได้ทันที เพียงเปลี่ยนเลย์เอาต์และใช้โทรศัพท์มือถือสร้างโฮโลแกรมเข้าไป ที่ผ่านมามีการจัดฉายหนังจริงบนเมตาเวิร์สแล้ว อนาคตวางแผนจะฉายหนังร่วมกับโรงภาพยนตร์กว่า 50 เรื่องในปีนี้ พร้อมกับการร่วมมือกับบริษัทอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้ผู้ใช้ซื้อขายจ่ายเงินแล้วรับสินค้าที่ขนส่งผ่านไปรษณีย์ไทยได้ปกติ
ทั้งหมดนี้ให้บริการในรูปแบบสมาชิกรายเดือนหรือรายปี แผนดำเนินการครึ่งแรกของปีนี้คือการออก SDK โดย 6 เดือนจากนี้จะมีการเปิดโอเพ่นซอร์ส เพื่อให้นักพัฒนานำไปพัฒนาเมตาเวิร์สในรูปแบบของตัวเอง คาดว่าไตรมาส 3 ปีนี้จะมีฟังก์ชันที่รองรับ AI ผู้ใช้สามารถพิมพ์บอกว่าต้องการอะไรเพื่อให้ระบบเจนเนอเรต หรือสร้างขึ้นมาให้ รวมถึงมีฟังก์ชันที่รองรับ ChatGPT โดยไตรมาส 4 จะมีการเชื่อมไปยังเกมอื่นต่อไป
ในภาพรวม ASPHERE ประเมินว่าเทคโนโลยีเมตาเวิร์สจะมีมูลค่าการเติบโตของตลาดจาก 58,500 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 64 จะเพิ่มเป็น 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 73 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 43.7% เบื้องต้นคาดว่าภายในปี 2569 จะมีประชากร 25% เข้าใช้ระบบเมตาเวิร์สอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวัน กิจกรรมที่อาจเกิดขึ้นมีตั้งแต่การทำงาน การศึกษา ชอปปิ้ง โซเชียล หรือความบันเทิง