กลุ่มสามารถเผยผลประกอบการไตรมาส 1/2566 รายได้รวม 2,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 50% จากการที่ผลการดำเนินงานในทุกสายธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องทแต่ยังขาดทุน 26 ล้านบาท แต่ยังมีโครงการรอรับรู้รายได้กว่า 1.25 หมื่นล้านบาท
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รายได้รวมของกลุ่มสามารถในไตรมาส 1/2566 สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างและแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แม้ในไตรมาสนี้บริษัทจะมีผลขาดทุนจำนวน 26 ล้านบาท จากการที่บริษัทต้องเสียภาษีเงินได้ถูกหัก ณ ที่จ่าย ของเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทลูกในต่างประเทศ จำนวน 54 ล้านบาท แต่เมื่อพิจารณาผลงานที่ผ่านมาและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัท ประกอบกับภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงมั่นใจว่ากลุ่มสามารถจะสร้างผลประกอบการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้อย่างแน่นอน
สำหรับในไตรมาส 1 สายธุรกิจ Digital Communications จากสามารถดิจิตอล มีรายได้จากการขายและบริการรวม 695 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146% ด้วยรายได้หลักจากธุรกิจ Digital Trunked Radio และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ประจำเพิ่มขึ้นจากค่าบริการ Air Time นับตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 เป็นต้นไป ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือสะสมรวม 2,500 ล้านบาท
ส่วนสายธุรกิจ Digital ICT Solution โดยสามารถเทลคอม มีรายได้รวม 937 ล้านบาท กำไรสุทธิ 24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% ซึ่งในไตรมาสนี้มีการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ มูลค่ารวม 382 ล้านบาท และปัจจุบันมีมูลค่างานในมือสะสมราว 6,000 ล้านบาท
ขณะที่สายธุรกิจ Utilities & Transportations มีรายได้รวม 1,210 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนกว่า 100% หลังเริ่มมีการเดินทางจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิส (CATS) กลับมาฟื้นตัว และน่าจะส่งผลให้หุ้น IPO ของบริษัท Samart Aviation Solutions หรือ SAV ผู้ถือหุ้นบริษัท CATS ได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่เน้นคุณค่าและต้องการผลตอบแทนในระยะยาว ทั้งนี้ บริษัทได้ยื่นไฟลิ่งแก่ ก.ล.ต แล้วในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีรายได้ประจำที่ทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่องจากโครงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ด้วยระบบ Direct Coding รวมถึงบริษัท ทรานเส็ค เพาเวอร์ เซอร์วิส ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ยังได้ลงนามในสัญญาจ้างงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้า มูลค่า 276 ล้านบาท และบริษัทเทด้า อีกหนึ่งบริษัทย่อยได้รับหนังสือตกลงว่าจ้างงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) มูลค่ารวม 2,387 ล้านบาท ปัจจุบัน จึงมีมูลค่างานในมือที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก่อสร้างสถานีไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้ารวม 4,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน นายวัฒน์ชัย ยังให้ความเห็นถึงการเลือกตั้งว่า ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะการเลือกตั้งย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง และหวังว่าทุกฝ่ายจะเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ในฐานะภาคเอกชน เราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการพัฒนาและนำเสนอ Solutions เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ รองรับการพัฒนาองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่อไป