ไมโครซอฟท์เผยรายงาน Cyber Signals ฉบับที่ 3 เจาะลึกความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่อโครงสร้างพื้นฐานหลัก ชี้ส่งผลร้ายแน่นอนหากเกิดการจู่โจมกับระบบเหล่านี้
นายสรุจ ทิพเสนา ผู้อำนวยการฝ่ายโซลูชันองค์กร บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ระบบ OT ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังองค์กรต่างๆ ทั้งในอุตสาหกรรมพลังงาน การขนส่ง และระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ต่างมีแนวโน้มที่จะเชื่อมต่อกับระบบไอทีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เส้นแบ่งระหว่างสองสิ่งที่เคยแยกจากกันอย่างชัดเจนนี้กลับบางลง จนมีความเสี่ยงของการหยุดชะงักและความเสียหายเพิ่มมากขึ้น
"ดังนั้น ธุรกิจและผู้ประกอบการโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมต่างๆ จึงจำเป็นจะต้องมองเห็นสถานการณ์ของระบบที่เชื่อมต่อกันทั้งหมด พร้อมประเมินความเสี่ยงและความเชื่อมโยงกันของระบบต่างๆ เพื่อให้สามารถตั้งรับได้อย่างมั่นใจ”
รายงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ “Cyber Signals” ฉบับที่ 3 ของไมโครซอฟท์ได้วิเคราะห์ความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยรวบรวมข้อมูลจากสัญญาณความปลอดภัย (Security Signals) มากกว่า 43 ล้านล้านรายการต่อวันของไมโครซอฟท์ และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย 8,500 คน โดยรายงานประกอบด้วยข้อมูลใหม่ในเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กรที่ต้องการป้องกันตัวจากการโจมตีทางไซเบอร์อย่างทันท่วงที
ข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดที่ไมโครซอฟท์เผยไว้ในรายงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ “Cyber Signals” ฉบับที่ 3 พบแนวโน้มและทิศทางในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ คือความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น โดยแนะนำแนวทางการป้องกันตัวขององค์กร เมื่อระบบไอทีทั่วไปทำงานผสานกับ IoT (Internet of Things) และเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (Operational Technology) โดยการจู่โจมที่เกิดขึ้นกับระบบเหล่านี้อาจส่งผลร้ายต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
เทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (Operational Technology หรือ OT) คือการรวมกันของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในระบบที่ตั้งโปรแกรมได้ หรืออุปกรณ์ที่โต้ตอบกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพได้ ตัวอย่างเช่นระบบการจัดการอาคาร ระบบควบคุมอัคคีภัย และกลไกการควบคุมการเข้าถึงทางกายภาพ เช่น ประตูและลิฟต์ เป็นต้น ด้วยการเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นระหว่างระบบ IT, OT และ IoT ไมโครซอฟท์ย้ำว่าภาคองค์กรและส่วนบุคคลจำเป็นต้องหันมาพิจารณาความเสี่ยงทางไซเบอร์และผลกระทบที่จะตามมาหากเกิดเหตุร้ายขึ้นจริง
"ถ้าแล็ปท็อป หรือยานพาหนะที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ถูกขโมยไป อาชญากรผู้ลงมืออาจสามารถเข้าถึงระบบเครือข่ายที่บ้านได้ และหากอุปกรณ์ชิ้นนั้นเป็นขององค์กร อาจทำให้ผู้ประสงค์ร้ายสามารถเข้าถึงระบบในโรงงานที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายแบบออนไลน์ เป็นต้น ส่วนระบบรักษาความปลอดภัยในอาคารอัจฉริยะอาจเปิดช่องให้ภัยคุกคามอย่างมัลแวร์ หรือการจารกรรมทางอุตสาหกรรมก็เป็นได้"
สำหรับข้อมูลเชิงลึกในประเด็นสำคัญจากรายงาน Cyber Signals ฉบับนี้ ไมโครซอฟท์พบว่า กว่า 75% ของอุปกรณ์ควบคุมเครื่องจักรอัตโนมัติในรุ่นที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในระดับร้ายแรงที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญ ในการปิดช่องโหว่ต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุถึงขั้นต้องหยุดทำงาน
นอกจากนี้ การเผยช่องโหว่ที่มีความรุนแรงสูงในอุปกรณ์ควบคุมเครื่องจักรของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้นถึง 78% ระหว่างปี 2563 ถึง 2565 เมื่อวัดจากอุปกรณ์ของผู้ผลิตที่เป็นที่นิยมในตลาด
ขณะเดียวกัน การสำรวจพบว่ามีอุปกรณ์มากกว่า 1 ล้านเครื่องที่เชื่อมต่อกับโลกออนไลน์อย่างเปิดเผย และยังใช้ซอฟต์แวร์ Boa ซึ่งทั้งล้าสมัยและไม่ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมแล้วในปัจจุบัน แต่กลับยังเป็นที่นิยมทั้งในกลุ่มอุปกรณ์ IoT และในชุดเครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ
"ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจหรือบุคคลทั่วไป การรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ IoT ด้วยแนวคิดแบบ Zero Trust ต้องเริ่มจากการเตรียมพร้อมที่ครอบคลุมความปลอดภัยในด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบพื้นฐานสำหรับการรักษาความปลอดภัยของบัญชีผู้ใช้ อุปกรณ์ และการจำกัดระดับการเข้าถึงข้อมูลและระบบต่างๆ ซึ่งเท่ากับว่าต้องทำการยืนยันตัวต้นผู้ใช้งานอย่างชัดเจน มองเห็นสถานะของอุปกรณ์ในเครือข่าย และตรวจจับความเสี่ยงแบบเรียลไทม์อย่างต่อเนื่อง"
นอกจากนั้น ไมโครซอฟท์สรุปว่าในภาวะที่ตลาด IoT/OT เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งการใช้งานภายในองค์กรเองหรือการใช้งานส่วนบุคคลของพนักงาน ยิ่งทำให้ปัญหาการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หน่วยงานต่างๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบริหารจัดการความปลอดภัยไซเบอร์แบบองค์รวมที่สามารถเชื่อมการบริหารจัดการ IT, IoT และ OT เข้าหากันได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทีมงานที่มีอยู่จำกัดให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพสูงสุด