“ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี องค์กรธุรกิจยิ่งลงทุน” อาจจะดูเป็นแนวทางที่รู้สึกขัดแย้ง แต่ในความเป็นจริงความกล้าที่จะลงทุนจะกลายเป็นโอกาสสำคัญในการก้าวขึ้นนำหน้าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทำให้ในปีนึ้ เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น (TKC) เตรียมความพร้อมรับโอกาส ภายใต้เป้าหมายในการเติบโตของธุรกิจ 15% ต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
สยาม เตียวตรานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ TKC กล่าวถึงโอกาสของธุรกิจ TKC ในปีนี้ว่า แม้สภาพเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี และเห็นความกังวลจากภายนอก เมื่อเป็นเช่นนั้นองค์กรธุรกิจจะหันมาลงทุนดิจิทัลมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยลดต้นทุน ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้
“ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่จะหันมาลงทุนดิจิทัลต่อเนื่อง จากในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลมากขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจขนาดกลางก็มีความจำเป็นต้องลงทุนดิจิทัลเพื่อเป็นทางรอดให้ธุรกิจ ทำให้ในปีนี้คาดหวังว่าจะมีการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้น”
จุดที่น่าสนใจคือในประเทศไทยการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ ทำให้เชื่อว่าไทยยังอยู่ในช่วงของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และแพลตฟอร์มเพื่อเปลี่ยนยุคมาสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนโครงข่าย 5G ได้ทำให้เห็นแล้วว่าจะสร้างประโยชน์ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมมากแค่ไหน
สิ่งที่ทำให้ TKC มั่นใจว่าในปีนี้จะสามารถรักษาอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 15% ได้มาจากการที่หลัง IPO เข้าตลาดหุ้นทำให้ได้เงินลงทุนเข้ามากว่า 1,400 ล้านบาท มีโอกาสเข้าไปประมูลงานโครงการต่างๆ มากยิ่งขึ้น จากก่อนหน้านี้มูลค่าโครงการที่เข้าร่วมได้อยู่ที่ราว 500 ล้านบาท ก็สามารถขยับขึ้นไปสู่โครงการระดับ 2,000 ล้านบาทได้สบายๆ
“หลังเข้าตลาดหุ้น การไปคุยกับพันธมิตรในต่างประเทศทำได้ง่ายขึ้น เพราะเขามีความเชื่อมั่น โดยเฉพาะในแง่ของความโปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นการดีลเป็นตัวแทนเข้ามาทำตลาดในไทย หรือการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อนำมาให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศ”
ปัจจุบัน โครงสร้างธุรกิจของ TKC จะมีทั้งในส่วนที่ให้บริการติดตั้งระบบ และโซลูชันต่างๆ แก่ลูกค้า รวมถึงเข้าไปลงทุนในบริษัทลูกเพื่อทำธุรกิจใหม่อย่างพลังงาน ครอบคลุมทั้งโซลาร์เซลล์ และที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจอบรมให้ความรู้ทักษะดิจิทัล โดยเฉพาะทางด้านไซเบอร์ซิเคียวริตีที่คาดว่าในปีนี้จะมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
โดยในปีที่ผ่านมา TKC มีการเพิ่มสายธุรกิจจาก 4 แกนหลักเดิมที่ให้บริการทางด้าน โทรคมนาคม ดาต้าคอมมูนิเคชัน พับบลิกเซฟตี้ และดิจิทัลเซอร์วิส ซึ่งจะครอบคลุมในแง่ของธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างการติดตั้งสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G และ 5G ระบบโครงข่ายใยแก้วนำแสง ให้บริการคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์ ทำงานร่วมกับพันธมิตรคลาวด์ระดับโลกให้บริการในประเทศไทย ธุรกิจทรังก์เรดิโอที่ให้บริการแก่สำนักงานตำรวจ ธุรกิจโดรน ให้บริการคอลเซ็นเตอร์ นำ AI ไปใช้ในการประมวลผลดาต้าต่างๆ
“ในส่วนของธุรกิจหลักเดิมยังมีโอกาสที่ทาง TKC จะขยายเพิ่มเติมได้อย่างในส่วนของโทรคมนาคม ที่จะมีโครงการนำสายสื่อสารลงดินที่คาดว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท ใน 10 ปีข้างหน้า หรือการลงทุนขยายโครงข่าย mmWave ของ 5G ที่เมื่อผู้เล่นเหลือน้อยลงจะทำให้เกิดการแข่งขันในแง่ของคุณภาพในการให้บริการเพิ่มขึ้น”
ส่วน 2 แกนใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาคือ EduTech ที่เริ่มเข้าไปให้บริการฝึกอบรมทางด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี และในอนาคตมีแผนที่จะขยายรูปแบบการอบรมไปในลักษณะของอีสปอร์ต และการเรียนเขียนโค้ดจากบริษัทลูกที่ TKC เข้าไปถือหุ้นอย่าง Exdream และ Eastgate Tech ซึ่งยังครอบคลุมถึงการให้บริการดิจิทัลเซอร์วิสในแง่ของการออกใบรับรองการอบรม หรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เริ่มมีการนำไปใช้งานมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน
ขณะที่สายธุรกิจ Green Solution จะให้บริการผ่านบริษัท ไอบีเอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (IBS) ที่ทาง TKC ถือหุ้น 99% เข้าไปศึกษาและให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจพลังงานสะอาด และธุรกิจอีวี ซึ่งนับเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่จะทยอยรับรู้รายได้เพิ่มเติมในปีนี้ โดยคาดว่าสัดส่วนระหว่าง 4 ธุรกิจเดิมจะอยู่ที่ราว 65% และ 2 ธุรกิจใหม่อยู่ที่ 35%
***ขยายตลาดด้วย ‘สมาร์ท โซลูชัน’
สยาม กล่าวเสริมถึงสิ่งที่ตั้งใจจะทำในปีนี้ คือการนำธุรกิจที่เป็นสมาร์ทโซลูชันต่างๆ เข้าไปให้บริการแก่ฐานลูกค้าเดิมของ TKC โดยมองว่าสมาร์ทโซลูชันคือเมกะเทรนด์ที่จะเกิดขึ้น ทำให้ทาง TKC ตั้งใจเข้าไปสร้างคุณค่าของธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ คำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม ตั้งใจทำธุรกิจให้มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้
โดยสมาร์ทโซลูชันที่ทาง TKC นำเสนอในปีนี้ ประกอบไปด้วย 8 โซลูชัน ตั้งแต่ 1.Smart Hospital ที่เข้าไปให้บริการโรงพยาบาลอัจฉริยะ ในการนำเทคโนโลยี 5G เข้าไปช่วยการทำเทเลเมดิซีน 2.Smart Building ที่รวมทั้งอาคารอัจฉริยะ และสนามบินอัจฉริยะ ที่นับเป็นเทรนด์หลักขององค์กรที่ต้องการระบบเข้าไปบริหารจัดการภายในอาคารต่างๆ
“ในสมาร์ทบิลดิ้งโซลูชัน จะมีระบบอย่าง Smart CCTV ในการนำแพลตฟอร์มบริหารจัดการกล้องวงจรปิด Symphia เข้าไปช่วยควบคุม และปรับปรุงการทำงานของกล้องวงจรปิดเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดการลงทุนซ้ำซ้อน สามารถนำข้อมูลมาใช้งานได้สะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนำ AI มาใช้เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย การตรวจจับวัตถุต้องสงสัย”
รวมถึงก่อนหน้านี้ทาง TKC ได้เข้าไปติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับความหนาแน่นแบบเรียลไทม์ภายในสนามบิน 3 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานภูเก็ต และเริ่มให้บริการไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันผู้โดยสายสามารถดูระยะเวลาที่ต้องใช้ตั้งแต่การเช็กอิน ตรวจสัมภาระ จนถึงผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่สามารถนำข้อมูลไปใช้เพื่อเพิ่มจุดให้บริการให้สอดรับกับความหนาแน่น สร้างความประทับใจในการใช้บริการสนามบิน
สำหรับระบบอัจฉริยะในสนามบินนี้ ในอนาคตมีโอกาสที่จะขยายโซลูชันไปเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันให้ครอบคลุมตั้งแต่การเดินทางตั้งแต่ที่พักอาศัยไปจนถึงขึ้นเครื่อง หรือในกรณีกลับกันคือ นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศก็สามารถให้บริการไปจนถึงขึ้นรถสาธารณะออกจากสนามบินไปที่พักได้เช่นกัน และสามารถเก็บข้อมูลการท่องเที่ยวเพื่อนำไปใช้ต่อยอดในอนาคตด้วย
3.Smart Farming ในการเข้าไปทำโครงการ CSR การเกษตรอัจฉริยะที่มูลนิธิ ณัฐภูมิ จังหวัดลำปาง อย่างโซลูชันบริหารจัดการน้ำทางการเกษตร โดยหลักๆ จะเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพของผลิต และควบคุมสภาวะในการปลูก 4.Smart Logistics ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ ซึ่งจะเน้นไปที่การทำระบบออกใบอนูญาต และใบรับรองทางดิจิทัลต่างๆ
5.Smart Platform ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาแพลตฟอร์มการแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงแพลตฟอร์มเพื่อให้ทางกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) นำไปใช้เพื่อช่วยลดภาระในการทำงาน โดยในอนาคตมีแนวทางในการนำเทคโนโลยีอย่างบล็อกเชน ระบบยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปเชื่อมต่อใช้งานด้วย
6.Smart Learning ที่จะทำโซลูชันสำหรับแพลตฟอร์มเพื่อการศึกษา ด้วยการนำประโยชน์ของเทคโนโลยี 4G และ 5G มาใช้ ทำให้เกิดการเรียนรู้ทางไกล 7.Cyber Security ที่ปัจจุบันมีโครงการฝึกอบรมบุคลากรด้านไซเบอร์ซิเคียวริตีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) รวมถึงความร่วมมือกับทางคอมพ์เทีย ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี
8.Autonomous Solutions พัฒนาระบบรถยนต์อัจฉริยะ ที่ปัจจุบันร่วมกับทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พัฒนาต้นแบบรถบัสไฟฟ้าไร้คนขับ เพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567 ซึ่งจะรวมถึงการพัฒนาจุดชาร์จรถไฟฟ้าด้วย
***แหล่งรายได้ใหม่จากอีวี-พลังงานสะอาด
นอกเหนือจากสมาร์ทโซลูชันแล้ว ทาง TKC ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจใจส่วนของพลังงานสะอาด ในแกนของ Green Solution ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่การเข้าไปลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อแบ่งส่วนแบ่งรายได้จากค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานที่ลดลง ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ระยะยาว 10-15 ปี ให้แก่บริษัท
ขณะเดียวกัน จากเทรนด์ขององค์กรธุรกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่เริ่มให้ความสำคัญกับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ทำให้เริ่มมีโครงการเกี่ยวกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่เริ่มทยอยติดตั้งระบบพลังงานทดแทนใช้ตามสถานีฐานต่างๆ ซึ่งจะยังมีการลงทุนต่อเนื่องไปในอนาคต
นอกจากนี้ IBS ยังได้เข้าไปขึ้นทะเบียนนวัตกรรมเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถรองรับเทคโนโลยีกริดอัจฉริยะ ซึ่งได้รับการทดสอบจากหน่วยงานมาตรฐานต่างๆ ในประเทศไทยแล้ว และเตรียมนำไปทำตลาดร่วมกับอุปกรณ์ตรวจวัดการใช้พลังงาน เชื่อมต่อกับโซลูชันสมาร์ทบิลดิ้งตามสถานที่ต่างๆ
สำหรับในช่วงไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา TKC ประมาณการรายได้ในปี 2565 จะอยู่ที่ราว 2,600 ล้านบาท และมีงานคงข้างในมือ (Backlog) กว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 4 ได้เข้าไปร่วมประมูลโครงการ และจะทยอยรับรู้ผลในช่วงไตรมาส 1 นี้ ก่อนประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ซึ่งสัดส่วนรายได้ในปัจจุบันจะมาจากโครงการภาครัฐราว 70% ส่วนภาคเอกชนอยู่ที่ 30% และอยากให้สัดส่วนของภาคเอกชนขึ้นมาเป็น 50% ภายใน 2 ปีข้างหน้า
ในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา TKC ได้เข้าประมูลโครงการหลากหลายไม่ว่าจะเป็น โครงการอบรมให้ความรู้ทักษะดิจิทัลของทาง กสทช. มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท โครงการรถบัสไฟฟ้าไร้คนขับ โครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน ระบบสมาร์ทแอร์พอร์ต และสมาร์ท บิลดิ้งต่างๆ
