ระหว่างวันที่ 20-21 กันยายนที่ผ่านมา Aruba บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise (NYSE:HPQ) ได้จัดการประชุมยิ่งใหญ่ประจำปี Aruba Atmosphere 2022 Conference - SEATH and India ที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยในการประชุมครั้งนี้ได้มีธุรกิจชั้นนำมากมายจากทั่วทั้งภูมิภาคมาร่วมงาน เพื่อเจาะลึกถึงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม พูดคุยสนทนาในประเด็นองค์ความรู้ใหม่ด้านเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ และเสริมสร้างทักษะใหม่จากเทคโนโลยีล่าสุด ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถปรับปรุงระบบเครือข่ายให้มีความทันสมัยได้อย่างต่อเนื่อง
“New Normal เป็นตัวเร่งการเจริญเติบโตของ Hybrid Cloud การเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของระบบ IoT และการทำงานจากนอกสถานที่ การเชื่อมต่อเครือข่ายจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในโลกที่ยังขาดการเชื่อมถึงกันในทุกวันนี้” Steve Wood, Vice President, APJ แห่ง Aruba บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise กล่าวเปิดงาน “เราทราบดีว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายให้ได้จากทุกที่ทุกเวลานั้นได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากยิ่งกว่าที่เคย และด้วยการมุ่งเน้นไปยังการปรับปรุงระบบเครือข่ายให้ทันสมัย องค์กรธุรกิจที่ให้ความสำคัญต่อการทำ Digital Transformation และการเร่งความเร็วของธุรกิจจะสามารถเอาชนะความท้าทายที่ยากยิ่งในครั้งนี้ได้ ด้วยการทำงานร่วมกันของระบบเครือข่าย การบริหารจัดการระบบเครือข่าย และการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจเติบโตได้ในท้ายที่สุด”
การประชุมครั้งนี้มีประเด็นหลักทางด้านเทคโนโลยีจากนวัตกรรมของ Aruba ที่ผู้บริหารระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญของอุตสาหกรรมให้ความสำคัญอยู่ด้วยกัน 3 ประการ ได้แก่ ความคล่องตัว (Agility) ความเป็นอัตโนมัติ (Automation) และความมั่นคงปลอดภัย (Security) ระบบเครือข่ายที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยอย่างในอดีตนั้นไม่อาจตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจที่เติบโตยิ่งขึ้นหรือสนับสนุนความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป เมื่อธุรกิจองค์กรเริ่มดำเนินโครงการด้าน Digital Transformation และปรับตัวสู่การทำงานแบบ Hybrid Work แล้ว ก็เป็นที่แนะนำอย่างยิ่งว่าองค์กรต้องมีการปรับไปใช้สถาปัตยกรรมระบบเครือข่ายที่ทันสมัยร่วมไปด้วย เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อและมั่นคงปลอดภัยสำหรับบริษัทในทุกขนาด และสามารถดำเนินกิจกรรมหลักของธุรกิจได้อย่างสะดวกจากทุกแห่งหน
David Hughes, Chief Product and Technology officer แห่ง Aruba กล่าวถึง ความยุ่งยากสำหรับการจัดการระบบเครือข่ายหลังยุคโควิด อันได้แก่ ต้องสามารถรองรับการทำงานแบบผสมหลายสถานที่ (Hybrid Work) การเร่งทำ Digital Transformation การให้ประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน และความต้องการระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้องค์กรทั้งหลายต้องพัฒนาระบบเครือข่ายของตนให้ทันสมัย ด้วยแนวทาง 3 ประการคือ
1.ความคล่องตัว (Agility) : การใช้บริการ Network-as-a-Service (NaaS) ได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนไปสู่การใช้สถาปัตยกรรมแบบผสานรวม Cloud-Native และทำงานบนมาตรฐานซึ่งสามารถรองรับอนาคตได้ และยังคุ้มค่าการลงทุนและง่ายดายต่อการบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่ง HPE GreenLake for Aruba ได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของธุรกิจองค์กร ตั้งแต่การช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถริเริ่มกรณีการใช้งานใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่น Hybrid Work, Connected Retail และ Hybrid Learning ไปจนถึงการสร้างความมั่นใจว่าระบบเครือข่ายจะพร้อมสนับสนุนความต้องการของภาคองค์กรธุรกิจได้อยู่เสมอ จากการที่ HPE GreenLake นั้นรองรับการเพิ่มขยายเพื่อให้เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจได้ตามต้องการ
2.ความเป็นอัตโนมัติ (Automation) : ปรับสู่กระบวนการทำงานที่ง่ายดายและทำงานแบบอัตโนมัติด้วยตัวช่วย AI เพื่อลดเวลาและทรัพยากรที่ต้องใช้ในการวางแผน ติดตั้งใช้งาน และบริหารจัดการระบบเครือข่ายซึ่งสนับสนุนการเชื่อมต่อจากภายนอก สาขาย่อย สาขาใหญ่ และ Cloud ด้วยการใช้โซลูชันที่มีองค์ประกอบของ AIOps (Artificial Intelligence for IT Operations) ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการนำความสามารถของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยในการดูแลและวิเคราะห์ ปรับเปลี่ยนระบบเครือข่ายได้อย่างอัตโนมัติ พร้อมช่วยผสานการทำงานระหว่าง IT และ OT โดย Aruba ESP, Aruba Central และโซลูชันอื่นๆ ของ Aruba
3.ความมั่นคงปลอดภัย (Security) : ความสำคัญของการตรวจจับและยับยั้งภัยคุกคามที่สูงขึ้น โดยการใช้เฟรมเวิร์ก Zero Trust และ SASE ด้วยการใช้เทคโนโลยี Identity-based Access Control และ Dynamic Segmentation ที่มีให้พร้อมใช้งานในระบบ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของโซลูชันของ Aruba
นอกจากนี้ ในการส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแก่ลูกค้า พนักงาน และฝ่าย IT การเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรมระบบ WAN และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้วยการใช้ระบบ Software-Defined Wide Area Network (SD-WAN) ที่ช่วยให้องค์กรสามารถก้าวไปสู่สถาปัตยกรรม Secure Access Service Edge (SASE) ได้นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน
เมื่อเร็วๆ นี้ แพลตฟอร์มระบบ Aruba EdgeConnect Enterprise SD-WAN ยังได้รับใบรับรอง ICSA Labs Secure SD-WAN Certification เป็นรายแรกจากบรรดาโซลูชัน SD-WAN ในวงการ โดยในการรับรองครั้งนี้ได้เน้นย้ำถึงความสามารถทางด้าน SD-WAN และความมั่นคงปลอดภัยของ Aruba ที่สูงสุดในวงการ ซึ่งสามารถมอบทั้งความยืดหยุ่นและความมั่นใจให้ลูกค้าในการเปลี่ยนแปลงระบบเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยครั้งสำคัญให้สำเร็จลุล่วงได้
พอร์ตโฟลิโอโซลูชันที่ครบถ้วนจาก Aruba นี้ได้นำระบบเครือข่ายขององค์กรธุรกิจไปสู่ที่บ้านได้ด้วย Network Edge ที่ยังคงวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบรับต่อความต้องการการเชื่อมต่อเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยอย่างต่อเนื่องของผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น ด้วยโซลูชัน EdgeConnect Microbranch ฝ่าย IT จะสามารถมั่นใจได้ว่าประสบการณ์ของพนักงานทุกๆ คนจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะอยู่ที่ใด ด้วยการส่งมอบบริการการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนเสมือนทำงานอยู่ภายในองค์กร ไปยังพนักงานที่ทำงานจากภายนอกองค์กร การแก้ไขปัญหาที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และการปกป้องดูแลพนักงานทั่วทั้งองค์กรด้วยการใช้เฟรมเวิร์กด้านความมั่นคงปลอดภัยอย่าง Zero Trust และ Secure Access Services Edge (SASE) ที่ถูกเพิ่มขยายจากภายในองค์กรไปสู่ที่บ้านของพนักงานหรือสาขาขนาดเล็กได้อย่างไร้รอยต่อ
ยิ่งไปกว่านั้น Aruba ยังได้มีการเปิดตัวโครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบเครือข่ายไร้สายที่สามารถระบุตำแหน่งของตนเองได้ พร้อมโครงการ Open Locate เพื่อปรับวิธีการในการแบ่งปันข้อมูลด้านสถานที่ให้กลายเป็นมาตรฐาน ด้วย AP ที่สามารถระบุตำแหน่งของตนเองได้จาก Aruba ธุรกิจองค์กรและผู้ให้บริการโครงข่ายจะสามารถให้บริการแอปพลิเคชันที่อาศัยข้อมูลตำแหน่งสถานที่ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และทั่วถึงได้ทั้งระบบ Wireless LAN ช่วยให้องค์กรธุรกิจไม่ต้องทำการสำรวจและตรวจสอบสถานที่ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีทั้งค่าใช้จ่ายและความผิดพลาดที่สูงอีกต่อไป
ผู้สนับสนุนงาน Atmosphere 2022 SEATH & India ประกอบไปด้วยผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลกอย่างเช่น AMD Pensando, Check Point, Netskope, Zebra, BT, Ekahau, TechData, VSTECS และ Westcon