ธุรกิจเครื่องพิมพ์ และโปรเจกเตอร์ถือว่าเป็น 2 กลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิต และการทำงานเปลี่ยนแปลงไป เมื่อผู้บริโภคต้องปรับตัวมาทำงานอยู่ที่บ้าน และอาศัยอยู่ในบ้านมากขึ้น ทำให้ธุรกิจเครื่องพิมพ์กลับมาเติบโตอีกครั้ง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์สินค้าขาดแคลนเนื่องจากกำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
‘เอปสัน’ ที่ครองตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท และโปรเจกเตอร์จึงถือว่าได้รับอานิสงส์ที่ดีในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ในปีงบประมาณที่ผ่านไปนี้ สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้เกือบ 10% พร้อมกับเตรียมหาลู่ทางใหม่ในการสร้างโอกาสทางธุรกิจผ่าน New S-Curve ที่จะช่วยให้เอปสันสามารถรักษาการเติบโตในระยะยาวได้ต่อไป
ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลว่า จากสภาพเศรษฐกิจในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มฟื้นตัวกลับมา รวมทั้งแรงหนุนจากการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ทำให้เอปสันมีรายได้เติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์
“การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ประกอบกับภาคการผลิตเริ่มหันมาใช้งานระบบซัปพลายเชน ทำให้เกิดการลงทุนด้านไอทีในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา”
โดยเอปสัน ยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดได้ทั้งในกลุ่มของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทระบบแท็งก์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 46% โดยเฉพาะในกลุ่มของเครื่องถ่ายเอกสารอิงค์เจ็ทระบบหมึกความจุสูง ที่มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 30% จากแนวโน้มของการที่หลายบริษัทเริ่มหันมาให้ความใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่ใช้ความร้อนมาเป็นเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทแทน
ถัดมาในกลุ่มเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม กลุ่มเครื่องพิมพ์ฉลากที่เติบโตมากที่สุดถึง 63% จากการที่โรงพิมพ์สามารถรับงานพิมพ์ดิจิทัลแบบออนดีมานด์ได้เพิ่มขึ้น ตามมาด้วยเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา ที่เริ่มฟื้นตัวจากการที่กลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ในกลุ่มนี้เติบโตถึง 21%
อีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่นับเป็นไฮไลต์ในช่วงปีที่ผ่านมา คือ โปรเจกเตอร์ โดยเฉพาะในกลุ่มของโฮมโปรเจกเตอร์ที่นำไปใช้งานในบ้าน เนื่องจากช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดผู้บริโภคเริ่มลงทุนทำโฮมเธียเตอร์ระดับไฮเอนด์ เพื่อใช้งานภายในบ้าน และเริ่มกลับมาจัดงานอีเวนต์ได้มากขึ้น ทำให้ธุรกิจโปรเจกเตอร์ฟื้นตัวกลับมาเติบโตที่ 11%
สุดท้ายกลุ่มหุ่นยนต์แขนกล มียอดขายเติบโตขึ้นมากกว่า 60% จากความต้องการในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์ จากจุดเด่นในแง่ของความแม่นยำสูง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ ใช้งานได้ในระยะยาว
ขณะที่สภาพตลาดไอทีโดยรวมในปีที่ผ่านมา ถือว่าในแง่ของปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาดไม่ได้มีการเติบโต และมีจำนวนน้อยลงราว 3% แต่ในแง่ของมูลค่าจากค่าเฉลี่ยของราคาสินค้าที่มีการปรับตัวสูงขึ้นจากวิกฤตการขาดแคลนสินค้า และความต้องการในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ในแง่ของมูลค่านั้นเติบโตถึง 21.1%
โดยสินค้าที่มีการเจริญเติบโตที่ดีมีทั้งในกลุ่มของแท็บเล็ตที่เติบโตถึง 47% จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป มีการทำงานจากที่บ้าน ใช้ในการเรียนออนไลน์ จึงต้องใช้อุปกรณ์ไอทีเข้ามาช่วยเหลือในการเข้าถึงกิจกรรมออนไลน์ต่างๆ
***โมเดลเช่าใช้ ช่วยคุมค่าใช้จ่าย
สำหรับในปี 2565 นี้ เอปสันมีการปรับกลยุทธ์ในการทำตลาดรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานการนำเทคโนโลยีที่มีเข้ากับรูปแบบการทำตลาดที่ง่าย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องเริ่มมองหาธุรกิจที่จะมาสร้างรายได้ให้สามารถเติบโตได้ในระยะยาว ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำคัญในช่วงที่ธุรกิจเครื่องพิมพ์เริ่มอิ่มตัว
ยรรยง ชี้ให้เห็นว่า ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของเอปสัน ยังสามารถสร้างรายได้หลักให้แก่ธุรกิจอยู่ ซึ่งถ้าไม่ทำอะไรธุรกิจก็ยังไปได้ แต่การเจริญเติบโตจะค่อนข้างถดถอย ทำให้เอปสัน เริ่มมองหาแหล่งรายได้ใหม่ที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวให้แก่บริษัท
โดยที่ผ่านมา เอปสันเริ่มนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่งในปีนี้เอปสันมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์มากกว่า 20 รุ่น โดยรวมทั้งในธุรกิจเครื่องพิมพ์ และโปรเจกเตอร์
ในขณะเดียวกัน ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจลงทุนกับเอปสันได้ง่ายขึ้น ด้วยการนำโมเดลการเช่าใช้ที่เข้าไปตอบโจทย์ลูกค้าได้ในทุกกลุ่ม แม้แต่ในภาคการศึกษา และกลุ่มบริษัทที่มีข้อจำกัดในแง่ของเงินลงทุน
“ในปีที่ผ่านมาโมเดลการทำตลาดแบบเช่าใช้ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งรวมถึงบริการหลังการขาย และค่าหมึก เพราะจ่ายในราคาเหมาไปเรียบร้อยแล้ว และเมื่อใช้งานครบระยะเวลาที่กำหนดจะได้รับเครื่องไปใช้ต่อฟรีๆ”
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขยายโปรแกรมเช่าใช้ไปยังธุรกิจอื่นอย่างโปรเจกเตอร์ความสว่างสูง สร้างโอกาสให้ผู้ใช้งาน หรือผู้บริโภค มีตัวเลือกในการใช้งานที่หลากหลาย และประหยัดในการลงทุนมากกว่า รวมถึงกลุ่มโปรเจกเตอร์ทั่วไป ที่หน่วยงานการศึกษา หรือร้านค้าที่ไม่อยากใช้เงินทุนเพื่อซื้อเป็นสินทรัพย์หันมาเช่าใช้งานแทน
“โมเดลเช่าใช้โปรเจกเตอร์จะขยายไปเน้นที่กลุ่มของมีเดียเอเยนซี และอีเวนต์ออแกไนเซอร์ ที่เริ่มกลับมาจัดงานกันได้แล้วในการเข้าไปเช่าใช้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อเครื่องหลักแสนบาท เหลือเช่าใช้ในหลักหมื่นบาทแทน”
ขณะที่กลุ่มธุรกิจเครื่องพิมพ์นั้น เนื่องจากโครงการภาครัฐยังไม่แน่นอน งบประมาณรัฐส่วนใหญ่ใช้กับเรื่องสุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชนมากกว่า และรายได้ที่เข้ามาของรัฐค่อนข้างจำกัดอยู่ ทำให้คาดว่าภาคเอกชนในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงงานที่ขยายตัวด้านการผลิต จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งเครื่องพิมพ์ หุ่นยนต์แขนกล รวมถึงบริษัท และกิจการต่างๆ ที่จะกลับมาดำเนินงาน อย่างโรงแรม โรงพยาบาล กิจการห้างร้านต่างๆ
“ในกลุ่มกิจการร้านค้าต่างๆ ถ้าเกิด 2-3 ปีที่ผ่านมาพักไปแล้วยังไม่กลับมาในปีนี้จะค่อนข้างเหนื่อยมาก ทำให้ในภาพรวมเอปสันยังมีโอกาสที่จะเติบโตในกลุ่มเหล่านี้ เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา”
อย่างไรก็ตาม เอปสันคาดว่าในกลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์จะไม่เติบโตในระดับ 10% ขึ้นไป เหมือนปีที่ผ่านมา และน่าจะกลับมาอยู่ในการเติบโตด้วยตัวเลขหลักเดียวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
***สรรหาธุรกิจ New S-Curve
จากเทรนด์การใช้งานเครื่องพิมพ์เอกสารที่เปลี่ยนแปลงไป หลายๆ บริษัทเริ่มหันมาใช้งานเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงมองหาโซลูชันการพิมพ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้นอย่างการที่เครื่องพิมพ์ต้องรองรับการเชื่อมต่อ WiFi รองรับการพิมพ์ 2 หน้าพร้อมกัน เพื่อประหยัดกระดาษ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน จนถึงการบริการที่ต้องลงทุนขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ต้องมองหาผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ๆ ที่มีโอกาสเติบโตเข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่มีหมึกความจุสูง ที่สามารถเข้าไปแทนที่เครื่องถ่ายเอกสารเดิม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกมากในอนาคตทั้งในปีหน้า และปีถัดๆ ไป
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของเครื่องพิมพ์พาณิชย์เชิงอุตสาหกรรมที่กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มสินค้าที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ รวมถึงในธุรกิจสิ่งทอที่สามารถพิมพ์ลวดลายลงบนผ้าซึ่งได้ปรับเปลี่ยนมาให้เป็นระบบดิจิทัลเรียบร้อย และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ถัดมาคือกลุ่มเครื่องพิมพ์ฉลากที่ปรับปรุงให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น สามารถปรับแต่งให้ใช้งานได้หลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตนำไปประยุกต์ใช้งานได้
ขณะเดียวกัน เอปสันยังได้มุ่งเน้นในส่วนของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในส่วนของการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำเครื่อง PaperLab ที่เป็นเครื่องรีไซเคิลกระดาษแบบแห้งเครื่องแรกของโลกมาใช้งานในภูมิภาคนี้ ทำให้สามารถผลิตกระดาษขึ้นมาใหม่จากกระดาษที่ใช้แล้วในสำนักงานได้ และจะกลายเป็นเทรนด์ของเครื่องรีไซเคิลที่เกิดขึ้นในอนาคต
จนถึงในกลุ่มธุรกิจหุ่นยนต์แขนกลที่จะได้รับการตอบรับเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มอุตสหกรรมการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมตามยุทธศาสตร์ของภาครัฐ ซึ่งถ้ามีการนำสิทธิประโยชน์ทางภาษีมาช่วยอุดหนุนในจุดนี้ก็จะได้รับผลบวกโดยตรง
“ภาพรวมของธุรกิจเอปสันในอนาคต จะเริ่มเห็นสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ฝั่งคอนซูเมอร์จะมีสัดส่วนลดลง จากปัจจุบันรายได้กว่า 70% มาจากผู้บริโภคทั่วไป แต่ใน 2 ปีข้างหน้าจะลดลงเหลือ 65% และปรับลดลงต่อไป เนื่องจากธุรกิจ New S-Curve จะเน้นจับกลุ่มองค์กรธุรกิจมากขึ้น”
ยรรยง กล่าวทิ้งท้ายว่า ในยุคที่โลกธุรกิจกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เอปสันต้องมีการปรับตัวและคอยดิสรัปตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้บริการ และนำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ซึ่งเป้าหมายของเอปสันไม่ใช่แค่รักษาความเป็นผู้นำในตลาด แต่มองถึงการเข้าไปสนับสนุนแนวทางการพัฒนาความยั่งยืนในองค์กรด้วย