ไซเบอร์ซิเคียวริตี หรือความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กำลังเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาเกิดวิกฤตความขัดแย้งในหลายภูมิภาคทั่วโลก จนทำให้การโจมตีทางไซเบอร์ การละเมิดข้อมูลส่วนตัว และขบวนการฉ้อโกงต่างเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์มากขึ้น เห็นได้ชัดจากสถิติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่พบว่ามีการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นถึง 168% ในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม 2563-พฤษภาคม 2564
กูเกิล (Google) เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ระดับโลกหลายรายที่กำลังเสริมความแข็งแกร่งให้เทคโนโลยีไซเบอร์ซิเคียวริตีของตัวเองสามารถต่อกรและป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ขบวนการแฮกในระดับกลุ่ม แต่ยังมีการแฮกที่ได้รับการสนับสนุนในระดับชาติด้วย โดยล่าสุด Google ประกาศเทเงิน 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 180,740 ล้านบาท เพื่อซื้อบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ชื่อ “แมนเดียน” (Mandiant) จนกลายเป็นข่าวดังเพราะดีลดังกล่าวมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์การซื้อกิจการของ Google
การตกลงซื้อบริษัท Mandiant จะทำให้ Google มีภาพความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแบบก้าวกระโดด โดยจะรับกับแผนการเพิ่มผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยไซเบอร์ที่จะสนับสนุนธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งอย่าง Google Cloud ซึ่งจะทำให้แข่งขันได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ทั้งอะเมซอนเว็บเซอร์วิสเซส (Amazon Web Services) และไมโครซอฟท์อาซัวร์ (Microsoft Azure) ที่ผ่านมา Google Cloud เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2564 รายรับจากแผนกคลาวด์เพิ่มขึ้น 45% เป็น 4,990 ล้านดอลลาร์ แต่แม้จะเติบโตเช่นนี้ Google Cloud ก็ยังไม่สามารถทำกำไรได้ แต่มีผลขาดทุนลดลงจาก 1,200 ล้านดอลลาร์เป็น 644 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้จะไม่ได้พูดชัด แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า เทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยคือสิ่งที่ Google เตรียมไว้เป็นเขี้ยวเล็บให้ Google Cloud รวมถึงบริการอื่นของตัวเองสู้ศึกได้ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแนวโน้มภัยไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นกำลังเป็นตัวขับเคลื่อนการใช้งานระบบคลาวด์และความต้องการปรับปรุงความปลอดภัยสำหรับทุกคน จุดนี้ “เชน ฮันต์เลย์” (Shane Huntley ผู้อำนวยการกลุ่มวิเคราะห์ภัยคุกคาม : TAG) Google ชี้ว่าต้นตอภัยคุกคามวันนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล กลุ่มผู้ก่ออาชญากรรมไซเบอร์ (บ็อตเน็ตรวมอยู่ในกลุ่มนี้) และกลุ่มผู้สร้างภัยคุกคามด้วยข้อมูลเท็จ ดังนั้น ความเชี่ยวชาญของกลุ่มนักแฮกวันนี้จึงมีความหลากหลาย และทุกคนต้องหาทางรับมือให้ครอบคลุม
***8 เมกะเทรนด์ขับเคลื่อนคลาวด์
เพื่อให้เห็นภาพรวมในวงการภัยไซเบอร์วันนี้ Google ได้เผยแพร่ 8 สุดยอดแนวโน้มเมกะเทรนด์ด้านภัยไซเบอร์ที่ผู้บริหารองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีควรให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด เนื่องจากแนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาภาพกว้างธรรมดา แต่ยังเป็นแนวทางในการพัฒนาความปลอดภัยและเทคโนโลยีระบบคลาวด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดย 8 Security Megatrends ที่ Google สรุปมานั้นมุ่งบอกว่าการลดต้นทุนของการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ด้วยการหันมาใช้คลาวด์สาธารณะ หรือพับลิกคลาวด์ (อย่าง Google Cloud) นั้นจะยิ่งเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยพื้นฐานขึ้นไปมากกว่าการลงทุนโดยภายในบริษัทเดียว ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นจะยิ่งดันให้ผู้ให้บริการคลาวด์พัฒนาระบบให้มีความปลอดภัยที่สูงขึ้น ซึ่งจะถือเป็นส่วนสำคัญของนวัตกรรมบริการคลาวด์ในอนาคต
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ จะทำให้การรักษาความปลอดภัยและตรวจสอบประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ที่สุดแล้ว ระบบคลาวด์จะเป็นระบบภูมิคุ้มกันดิจิทัล ซึ่งทุกการอัปเดตความปลอดภัยบนระบบคลาวด์ จะทำให้ผู้ใช้รู้ทันภัยคุกคาม ช่องโหว่ หรือเทคนิคการโจมตีใหม่โดยไม่ต้องพบหรือมีประสบการณ์ตรง กลายเป็นการทำซิเคียวริตีแบบเร่งรัด เพื่อให้ได้รับการปกป้องที่ดียิ่งขึ้น
ฟิล เวเนเบิลส์ (Phil Venables) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของ Google Cloud ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งอันดับ 3 ของโลก ย้ำว่า Google Cloud เป็นบริการที่ช่วยให้องค์กรปลอดภัยและดำเนินตามรอยเทรนด์โลก โดยบอกว่าระบบการรักษาความปลอดภัยบน Google Cloud นั้นออกแบบมาแบบฝังตัวตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่การสร้างแล้วจึงหันมาปิดช่องโหว่เหมือนระบบเก่า
แนวโน้มเหล่านี้ถูกเผยแพร่เพื่อให้องค์กรหันมาปรับใช้คลาวด์มากขึ้นเพื่อรับมือภัยไซเบอร์ในอนาคต สำหรับ Google Cloud นั้น การเติบโตของ Google Cloud ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของตลาดคลาวด์ในวงกว้าง ซึ่งเมื่อการเติบโตของคลาวด์ขยายตัว การเติบโตของ Google Cloud ก็มีโอกาสขยายตัวมากขึ้นเช่นกัน และเพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มภัยไซเบอร์ที่ร้อนแรงขึ้น Google จึงประกาศการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อติดปีกให้ส่วนงานไซเบอร์ซิเคียวริตีของบริษัทมีความ “เก่งขึ้น”
***แผนนี้ยิ่งใหญ่
Google รู้ว่าการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีของแรนซัมแวร์กำลังเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีต้นทุนไม่น้อยในการจัดการ ในขณะเดียวกัน บุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ก็ขาดแคลน ธุรกิจที่ต้องการคนที่มีความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ ต้องวิ่งวุ่นจัดหาและว่าจ้างทีมงานผู้มีความสามารถที่มีทักษะจำเป็นจนเหนื่อยหอบ ดังนั้น Google จึงถูกมองว่าอาจใช้ข้อเสนอด้านความปลอดภัยเป็นจุดขายเพื่อแยกความแตกต่างของ Google Cloud จากคู่แข่ง ก่อนจะขยายผลไปยังบริการอื่นในเครือจนเปลี่ยนเกมให้ Google ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
สำหรับ Google Cloud การซื้อบริษัทรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ชื่อ Mandiant อาจเป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของวงการคลาวด์ มีความเป็นไปได้ว่าผู้ให้บริการระบบคลาวด์ขนาดใหญ่รายอื่นอาจเพิ่มการลงทุนในผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัยและบริการให้คำปรึกษา รวมถึงขยายข้อเสนอด้านความปลอดภัยในหลายด้าน เพื่อให้สามารถช่วยให้ลูกค้าในเครือข่าย มีแรงเหลือเฟือในการรักษาความปลอดภัยและป้องกันการโจมตี
ในส่วนของ Google และ Mandiant การผนวกรวมกันจะช่วยเสริมความปลอดภัยให้ลูกค้า Google Cloud ในระยะยาว แม้ว่าการซื้อกิจการครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้ให้บริการระบบคลาวด์รายอื่น เพราะเมื่อการรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์มีความสำคัญต่อธุรกิจมากขึ้น การรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์จึงอาจกลายเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งขึ้น และกระตุ้นให้ผู้ให้บริการหันมาลงทุนและส่งเสริมข้อเสนอด้านความปลอดภัยเช่นกัน
การซื้อ Mandiant เป็นส่วนเดียวที่สะท้อนความทะเยอทะยานของ Google ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจาก Mandiant ซึ่งเป็นบริษัทที่มีทีมที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยมากกว่า 600 คนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าและนักวิเคราะห์ข่าวกรอง 300 คน แต่ Google ยังซื้อกิจการอีกหลายบริษัทเพื่อจัดการความท้าทายยิ่งใหญ่ที่รออยู่ในสมรภูมิรบ โดยที่ผ่านมา Google ใช้เวลานานกว่า 14 เดือนในการซื้อบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่อย่างฟิตบิต (Fitbit) ด้วยมูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการตรวจสอบด้านกฎระเบียบ ซึ่ง Google อาจต้องใช้เวลานานเช่นกันกับกระบวนการซื้อ Mandiant
ไม่ว่าจะนานเท่าไร เชื่อว่า Google จะรอได้ และจะเอาจริงในศึกซิเคียวริตีอย่างเต็มที่!