ETDA เปิดร่างพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. ... รับฟังความคิดเห็นอีกครั้งหลังสำนักงานกฤษฎีกาให้ปรับปรุง กม.ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ทับซ้อน กม.เดิม และไม่เป็นการขัดขวางการดำเนินธุรกิจ
นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กล่าวถึงความคืบหน้าของ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. ... ว่า หลังจากผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับเนื้อหาในหลักการของร่างกฎหมาย เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2564 แล้ว ได้ส่งร่างดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เริ่มพิจารณาร่างกฎหมายมาตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.2565 ที่ผ่านมานั้น ในระหว่างการพิจารณาได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐ เอกชน รวมถึงองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรเข้ามาร่วมให้ความเห็นต่อร่างกฎหมายนี้ เพื่อให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ทับซ้อน มีการประสานการทำงานร่วมกัน และในการร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่นี้จะต้องไม่เป็นข้อจำกัดของการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการหรือผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย เป็นต้น
ดังนั้น เพื่อให้เนื้อหาของการปรับปรุงร่างกฎหมายมีความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้นำร่างที่ผ่านการพิจารณา วาระที่ 1 มาเปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่10-25 มี.ค.2565 ก่อนที่จะทำการรวบรวมนำความเห็นที่ได้รับมาประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาในวาระที่ 2 ก่อนดำเนินการเวียนร่างกฎหมายต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันร่างและเสนอต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ในลำดับต่อไป
สำหรับร่างกฎหมายฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงเนื้อหาสาระสำคัญบางส่วน ทั้งการปรับแก้ไขเนื้อหาให้ความชัดเจนและเพิ่มเติมในบางประเด็น ทั้งในส่วนของการปรับชื่อร่างกฎหมาย จาก “(ร่าง) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. ...” เปลี่ยนเป็น “(ร่าง) พระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. ...” ปรับปรุงคำนิยามของคำว่า “บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล” ให้มีครอบคลุมยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มเติมรายละเอียดลักษณะบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบก่อนประกอบธุรกิจแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.บุคคลธรรมดาที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี 2.นิติบุคคลมีรายได้ในประเทศไทยเกิน 50 ล้านบาทต่อปี และ 3.ผู้มีจำนวนคนใช้งานในไทยเฉลี่ยเกิน 5,000 รายต่อเดือน ดังนั้นผู้ประกอบการออนไลน์รายเล็กไม่เข้าข่ายจดแจ้งตาม กม.นี้
ส่วนผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ต่างประเทศที่มีลักษณะดังนี้ ได้แก่ แสดงผลเป็นภาษาไทย จดทะเบียนชื่อโดเมน .th หรือ.ไทย กำหนดให้ชำระเงินเป็นเงินบาท ให้ใช้กฎหมายไทยแก่ธุรกรรม จ่ายค่าตอบแทนแก่เสิร์จ เอนจิน เพื่อช่วยให้ยูสเซอร์ในไทยเข้าถึงบริการ จัดตั้งสำนักงาน หน่วยงาน หรือมีบุคลากรเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือยูสเซอร์ในไทย ต้องแจ้งสำนักงานก่อนประกอบธุรกิจและต้องมีการแต่งตั้งผู้ประสานงานในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม หากเป็นบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลขนาดใหญ่และที่มีลักษณะเฉพาะต้องมีการประเมินความเสี่ยง และมีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงเสนอต่อสำนักงานทุกปีเพิ่มเติมด้วย ซึ่ง กม.ได้กำหนดผู้ที่จัดเป็นบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลขนาดใหญ่นั้นต้องมีรายได้จากการให้บริการในไทยแต่ละประเภทบริการเกิน 300 ล้านบาทต่อปี หรือรวมทุกประเภทบริการเกิน 1,000 ล้านบาทต่อปี และมีผู้ใช้งานแอ็กทีฟต่อเดือนเกิน 7 ล้านคน หรือ 10% ของจำนวนราษฎร
นอกจากนี้ กม.ได้ยกเว้นการบังคับใช้กับบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่แล้วเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดูแล โดย กม.จะมีผลบังคับใช้ 240 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจาฯ ผู้ที่ประกอบธุรกิจก่อนที่ กม.บังคับใช้ให้แจ้งการประกอบธุรกิจต่อสำนักงานภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ กม.ใช้บังคับ ระหว่างนั้นสามารถประกอบธุรกิจได้