สกมช.เตือนภัยไซเบอร์ พบมัลแวร์ล้างข้อมูลโจมตีประเทศยูเครน หวั่นกระทบไทย เหตุเครือข่ายเน็ตเชื่อมโยงถึงกัน แนะป้องกันปิดช่องโหว่ก่อนถูกโจมตีแบบไม่รู้ตัว เร่งประชุมหน่วยงานต่างๆ ภายใต้กฎหมายวางแผนป้องกัน เผยประชาชนทั่วไปและหน่วยงานอื่นที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายต้องระวังด้วย เพราะถือเป็นภัยที่ร้ายแรง
นาวาอากาศเอกอมร ชมเชย รองเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า จากกรณีความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซียกับยูเครน” ทำให้มีการปฏิบัติการโจมตีทางทหารและการโจมตีทางไซเบอร์เกิดขึ้น โดยมีเหตุการณ์การโจมตีทางไซเบอร์ในระหว่างวันที่ 22-25 กุมภาพันธ์ 2565 ในรูปแบบ DDoS (Distributed-denial-of-service) หรือการก่อกวนเว็บไซต์ของหน่วยงานสำคัญระดับประเทศ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และภาคธนาคาร โดยทำการเข้าถึงหลายเว็บไซต์พร้อมๆ กัน ทำให้ไม่สามารถเข้าใช้งานได้ ส่งผลให้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตล่ม และยังมีการตรวจพบมัลแวร์ชื่อ Hermetic Wiper ซึ่งมีลักษณะการทำงานที่เน้นการล้างข้อมูลของเป้าหมายบนระบบเครือข่ายภายในประเทศยูเครน
ทั้งนี้ บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์เปิดเผยว่า มัลแวร์นี้จะสร้างความเสียหายให้ Master Boot Record (MBR) ทำให้คอมพิวเตอร์ที่ติดมัลแวร์ไม่สามารถทำงานได้ และยังมีการตรวจพบมัลแวร์ชื่อ Cyclops Blink จากกรณีการปลอมแปลงเว็บไซต์หน่วยงานรัฐบาลของประเทศยูเครน ซึ่งในเว็บไซต์ปลอมนี้ทำแคมเปญชื่อว่า ‘Support the President’ หลอกให้ผู้ใช้งานหลงเชื่อทำการคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย จากนั้นมัลแวร์จะถูกดาวน์โหลดไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน และรวบรวมข้อมูลในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งส่งกระทบต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของประเทศยูเครนในขณะนี้
ทั้งนี้ สกมช. โดยศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ศปช.) จึงได้ร่วมกับหน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล (Regulator) จำนวน 19 หน่วยงาน และศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Sectorial CERT) จำนวน 5 หน่วยงาน หารือแนวทางในการรับมือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง หากระบบเกิดการ Offline หรือระบบหยุดชะงัก โดยทำการตรวจสอบการปิดช่องโหว่ที่อาจได้รับการโจมตี เพิ่มความระวังและติดตามข่าวสารและรายงานจาก สกมช. เพื่อรับการแจ้งเตือนได้ทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเน้นย้ำให้หน่วยงานตรวจสอบระบบสารสนเทศภายในองค์กรให้มีความมั่นคงปลอดภัย เพื่อป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งตามประกาศตามกฎหมายมีแนวทางในการป้องกันและ สกมช.เองได้มีการแจ้งถึงผลิตภัณฑ์ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความเสี่ยงถูกโจมตีให้หน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้กฎหมายเรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุถูกโจมตี แม้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เนื่องจากระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้นสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก การโจมตีไซเบอร์จึงไม่ได้มีเขตแดนปิดกั้น มัลแวร์มักมีการแพร่กระจายแบบอัตโนมัติ และจากนโยบายทางการทูตของไทยอาจส่งผลให้คนที่เห็นต่างไม่พอใจและใช้ภัยไซเบอร์นี้เป็นเครื่องมือในการโจมตีก็เป็นได้
นาวาอากาศเอกอมร กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เพียงแต่หน่วยงานภายใต้กฎหมายที่ต้องป้องกันภัยไซเบอร์แล้ว ประชาชน หรือหน่วยงานที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายก็ต้องตระหนักและป้องกันภัยไซเบอร์ดังกล่าวด้วย เพราะภัยดังกล่าวนับว่าร้ายแรง ทำลายข้อมูล โดยแนวทางป้องกันรับมือต้องนำด้วย user awareness สร้างการรับรู้ และความเข้าใจให้เกิดในวงกว้าง ดำเนินการตรวจสอบและปิดช่องโหว่จากข้อมูลที่คาดว่าเป็นช่องโหว่ที่ใช้ในการโจมตีดังกล่าว ต้องสำรองข้อมูลอย่างน้อย 3 ชุด โดยต้องมีการ Backup แบบ Offline และควรให้สำเนาข้อมูลอยู่ในอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล หรือคลาวด์ที่แยกออกจากระบบงาน และไม่สามารถเข้าถึงได้จากระบบงานปกติ
ต้องตรวจสอบระบบการเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกล เช่น Remote Desktop Protocol, Virtual Private Network ว่ามีการเข้าถึงที่ผิดปกติหรือไม่ และควรหมั่นตรวจสอบสิทธิการเข้าถึงระบบอย่างสม่ำเสมอ ควรใช้การยืนยันตัวตนแบบ Two-factor Authentication เป็นอย่างน้อย และตั้งรหัสผ่านให้ซับซ้อนคาดเดาได้ยาก หมั่น Patch คอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการ อุปกรณ์ต่างๆ รวมถึง Applications ให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่องโหว่ที่มีการแจ้งเตือนล่าสุด หรือช่องโหว่ประเภท 0-day ต่างๆ เช่น log4,SolarWinds Supply Chain, Exchange Server และ Win32 Elevation Vulnerability เป็นต้น และติดตั้งโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ และอัปเดตให้ทันสมัยอยู่เสมอ