AIS 5G ขยายความร่วมมือในการพัฒนา Mobile Stroke Unit หรือหน่วยรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหิดล นำไปใช้งานในพื้นที่ห่างไกล จากความสำเร็จของการขยายเครือข่าย 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ
นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า เป้าหมายหลักของ AIS ตลอดระยะเวลาช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราเดินหน้าด้วยงบลงทุนกว่า 30,000-35,000 ล้านบาทในทุกปี เพื่อพัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีความสามารถในการยกระดับการทำงานของภาคส่วนต่างๆ
หนึ่งในนั้น คือ ภาคสาธารณสุข ผ่านการคิดค้นบริการดิจิทัลและโซลูชันที่สามารถสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในมิติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาเราได้ทำงานร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในการร่วมกันพัฒนารถ Mobile Stroke Unit รถพยาบาลที่มีความสามารถในการช่วยเหลือ ปฐมพยาบาล ผู้ช่วยโรคหลอดเลือดสมอง
โดย AIS ได้ร่วมกับคณะทำงานพัฒนาอุปกรณ์ภายในรถเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและกระจายสัญญาณ เช่น 5G CPE ที่รองรับสัญญาณการแจ้งเหตุได้อย่างรวดเร็ว การเพิ่มคุณภาพของสัญญาณการส่งภาพจากกล้องภายในรถ หรือแม้แต่ภาพ CT Scan ที่มีความจำเป็นต้องส่งขึ้นคลาวด์ อย่างเร็วที่สุด เพื่อให้ทีมแพทย์ได้วินิจฉัย รวมถึงประเมินอาการระดับความรุนแรงหรือแม้แต่การปฐมพยาบาลเพื่อรักษาในเบื้องต้นได้ทันเวลา
ล่าสุด คณะทำงานได้ขยายผลความสำเร็จของรถ Mobile Stroke Unit ไปยังพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ เช่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง จ.ราชบุรี โรงพยาบาลคีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ จังหวัดเชียงราย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม จ.นครพนม
ทั้งนี้ การที่ AIS เดินหน้าขยายพื้นที่การให้บริการของ 5G ให้ครอบคลุมทั่วประเทศไม่ได้ส่งผลดีในมุมของผู้บริโภคในการใช้งานเท่านั้น แต่ภาคส่วนต่างๆ ยังได้รับประสบการณ์ และบริการใหม่ๆ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต หรือแม้แต่การเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียม
โดยดิจิทัลเทคโนโลยีสามารถทำให้ภาคสาธารณสุขของไทยมีศักยภาพทัดเทียมกับนานาชาติ นั่นจึงเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ที่ต้องเป็นผู้นำในการดึงขีดความสามารถของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ออกมาเชื่อมต่อการทำงานกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน ลดอุปสรรคในการเข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อท้ายที่สุดจะช่วยลดภาระของภาครัฐ และเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป