การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุดที่สุดคือเป้าหมายของทีมการหาผู้ใช้ใหม่ แต่หากการทำให้แอปมือถือเติบโตเป็นเรื่องง่าย แอปดีๆ ทุกแอปก็คงดังเป็นพลุแตกไปแล้ว เมื่อมีแอปมือถืออยู่ถึง 1.85 ล้านแอปอยู่ในตลาด การแข่งขันเพื่อดึงดูดผู้ใช้จึงดุเดือดมาก โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใช้ติดตั้งแอปไว้ในโทรศัพท์ประมาณ 40 แอป แต่ใช้เวลาบนหน้าจอ 89% สลับไปมาแค่ระหว่าง 18 แอป
แล้วคุณจะทำอย่างไรจึงจะสามารถเริ่มเดินในวันแรกที่มีผู้ใช้จำนวนน้อยนิดเพียง 1,000 คนหรือน้อยกว่านั้น ไปสู่วันที่เข้าถึงผู้ใช้ได้มากกว่า 1,000,000 คน
สำหรับแอปส่วนใหญ่ คำตอบคือใช้เวลาและความอดทน แต่เมื่อลงทุนไปกับหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดซึ่งได้รับการพิสูจน์กันมาแล้ว คุณจะสามารถเพิ่มจำนวนและคุณภาพของฐานผู้ใช้ของคุณได้อย่างสม่ำเสมอและเห็นได้ชัด ทั้งนี้ กลยุทธ์ที่ใช้อาจแตกต่างกันไปตามพื้นที่โฆษณาและตลาดเป้าหมาย แต่มีหลักการในการทำการตลาดแอปที่นักการตลาดแอปผู้พยายามสร้างการเติบโตสามารถนำไปใช้ได้
ดังนั้น หากเป้าหมายของคุณในปี 2565 คือการสร้างฐานผู้ใช้ 1 ล้านคนก่อนสิ้นปี ถึงเวลาแล้วที่จะลงมือค้นหาวิธีการทำการตลาดแอปอย่างจริงจังในฐานะแกนกลางที่จะทำให้แอปเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเริ่มจากการออปติไมซ์แอปสโตร์ (ASO) และแคมเปญ/การหาผู้ใช้ (UA : User Acquisition) แบบมีค่าใช้จ่าย รวมถึงเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและสิ้นเปลืองต้นทุน
สร้างกลยุทธ์ ASO ที่แข็งแกร่ง
ASO คือป้ายแรกบนถนนสู่การหาผู้ใช้ (UA) การปรับปรุงการแสดงแอปของคุณในผลการค้นหาบนแอปสโตร์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการติดตั้งแบบออแกนิกจะเป็นรากฐานที่ทำให้แอปเติบโตแบบออแกนิกเช่นกัน กลยุทธ์ ASO ที่ดีสามารถเพิ่มจำนวนการติดตั้งให้คุณได้ระหว่าง 3-5% จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้หากคุณต้องการหาผู้ใช้ให้ได้ 1 ล้านคน
เรามอง ASO ว่าเป็นกระบวนการ เนื่องจากเป็นส่วนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลยุทธ์การหาผู้ใช้ (UA) ของคุณ และต้องปรับแต่งเป็นประจำเพื่อให้ตรงเทรนด์ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และข้อกำหนดของแอปสโตร์ในปัจจุบัน ยิ่งแอปของคุณอยู่ในอันดับสูง เมื่อผู้ใช้เป้าหมายพิมพ์คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ยิ่งมีแนวโน้มมากขึ้นที่ผู้ใช้จะเห็นและติดตั้งแอปของคุณ
Apple App Store (iOS) และ Google Play (Android) ครองตลาดนอกประเทศจีนในสัดส่วน 95% แสดงว่าคุณจะต้องเน้นที่การปรับการแสดงตัวตนของคุณให้เหมาะกับแพลตฟอร์มเหล่านี้ เมื่อสถานะของแอปในแอปสโตร์ลงตัวแล้ว ก็คุ้มค่าที่จะลองมองแอปสโตร์ทางเลือกอื่นๆ โดยพิจารณา Samsung Galaxy Store, Amazon Appstore และ Huawei AppGallery เมื่อคุณพร้อม แต่ก่อนหน้านั้น ให้มุ่งไปที่พื้นฐานของ ASO เสียก่อน
เลือกคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้อง
ส่วนสำคัญของ ASO คือการเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องโดยไม่ให้ดูโจ่งแจ้งจนเกินไป ขั้นแรก ให้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้เป้าหมายกำลังใช้ในการค้นหา ซึ่งอาจจะเป็นคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งของคุณใช้ เครื่องมือ ASO อย่าง Appfollow, MobileAction หรือ Apptweak สามารถช่วยเลือกคีย์เวิร์ดดีๆ ให้แคบลงตรงจุดให้คุณได้ใช้เวลาเต็มที่ในการหาคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งของคุณอาจมองข้ามไป
ออปติไมซ์ชื่อและคำอธิบาย
เมื่อพูดถึง Metadata การออปติไมซ์ชื่อเรื่องสำคัญที่สุด และอาจเพิ่มจำนวนการดาวน์โหลดได้สูงสุดถึง 15% ชื่อเรื่องของคุณควรจำง่ายที่สุด โดยใส่ชื่อแอปและคีย์เวิร์ดที่มีอันดับสูงสุดที่คุณกำหนดในขั้นตอนที่ 1 หลักการที่ใช้ได้เสมอข้อหนึ่งคืออย่าตั้งชื่อเรื่องเกิน 25 อักขระ เนื่องจากอักขระที่เกินกว่านั้นจะถูกตัดออกเมื่อปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาของแอปสโตร์
คำอธิบายควรกระชับและน่าสนใจ หรือใส่รายการนำเสนอฟีเจอร์ของแอปซึ่งไม่เหมือนใคร ลองนึกถึงปัญหาที่แอปของคุณช่วยแก้ไข ฟีเจอร์ของแอปที่ผู้ใช้ชื่นชอบ สิ่งที่ทำให้แอปของคุณไม่เหมือนใคร แล้วพยายามสื่อข้อมูลทั้งหมดนี้ในลักษณะที่อ่านง่าย
ใช้ภาพ
ภาพและวิดีโอเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถดึงความสนใจของผู้ใช้ ในแอปสโตร์ก็เช่นกัน ผู้ใช้น้อยกว่า 2% แตะปุ่ม “อ่านเพิ่มเติม” เพื่ออ่านคำอธิบายทั้งหมดของคุณ ดังนั้น รูปภาพของคุณจะเป็นวิธีหลักในการดึงดูดความสนใจและเพิ่มยอดติดตั้ง ภาพที่สวยงามและน่าดึงดูดจะทำให้คุณได้เปรียบคู่แข่งและเพิ่มอัตราการดาวน์โหลดถึง 17-24%
วิดีโอเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ หน้าแอปส่วนใหญ่บนแอปสโตร์ทั้งสองเจ้าต่างก็ใส่วิดีโอด้วย ซึ่งไม่แปลกแต่อย่างใดเนื่องจากการเพิ่มวิดีโอลงในหน้าแอปสามารถเพิ่มยอดดาวน์โหลดได้สูงสุดถึง 35% สร้างและเพิ่มวิดีโอที่สั้นและน่าดู ซึ่งแสดงภาพรวมของประสบการณ์ในแอปของคุณ สำหรับวิดีโอถาวร (วิดีโอที่มีความเกี่ยวข้องเสมอ) ให้หลีกเลี่ยงการเน้นเหตุการณ์ที่เจาะจง หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่ขึ้นอยู่กับเวลา
ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2564 นักการตลาดสามารถเพิ่มการ์ดอีเวนต์ของอีเวนต์ในแอปลงในหน้าผลิตภัณฑ์ของตนบน Apple App Store ได้ ซึ่งจะช่วยให้ดูทันสมัยและเหมาะสมกับเวลา รวมถึงเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้เป้าหมาย
ถึงเวลาทดสอบและปรับให้เหมาะสมแล้ว
เมื่อองค์ประกอบพื้นฐานของคุณพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาทดสอบผลงานของคุณอย่างจริงจังเสียที ทั้ง Google Play และ App Store (ตั้งแต่ iOS15 เป็นต้นไป) ช่วยให้นักการตลาดแอปสามารถทำการทดสอบ A/B กับชิ้นงานโฆษณาได้ Google Play ให้การทดสอบที่ครอบคลุมที่สุด เรียกว่าการทดลองเผยแพร่ในสโตร์ที่ส่วน Play Console ซึ่งคุณสามารถใช้ทดสอบได้ทุกอย่าง รวมถึงรูปภาพ คำอธิบายที่แปลเป็นภาษาท้องถิ่น ไอคอน และอื่นๆ หากเข้าใจว่าอะไรที่ได้ผล คุณจะสามารถนำไปใช้ซ้ำและปรับแต่ง ASO ของคุณให้สมบูรณ์แบบต่อไปได้
วางแคมเปญแบบมีค่าใช้จ่ายเป็นศูนย์กลางของการหาผู้ใช้ (UA) ของคุณ
เมื่อ ASO ของคุณพร้อมแล้ว คุณจะเริ่มเห็นว่ามีจำนวนการติดตั้งแบบออแกนิกเข้ามาเรื่อยๆ จึงถึงเวลาแล้วที่คุณจะคิดถึงการหาผู้ใช้ (UA) แบบมีค่าใช้จ่าย แอปส่วนใหญ่ต้องลงทุนอย่างหนักกับแคมเปญที่มีค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีการเติบโตในระดับสูง ตัวเลือกช่องทางแบบมีค่าใช้จ่ายนั้นมีเยอะจนคุณเลือกไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้น บทความนี้เราจะมาเน้นที่ช่องทางบริการตนเองแบบมีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะ
● Google App Campaign สามารถเข้าถึงผู้ใช้ทั่วทั้งเครือข่ายแอปของ Google ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Google Play Store, Gmail และในแอป คุณสามารถใช้องค์ประกอบและชิ้นงานโฆษณาของคุณเองได้ ไม่เช่นนั้น Google ก็สามารถนำข้อมูลที่มีอยู่ในรายการ Play Store ของคุณมาใช้ได้ ระบุประเทศและข้อมูลประชากรที่คุณต้องการให้เป็นเป้าหมาย อัปโหลดชิ้นงานโฆษณา กำหนดงบประมาณ เท่านี้คุณก็พร้อมลงสนามแล้ว นอกจากนี้ Google มีเครื่องมือการแปลและปรับหน้าแอปของคุณเป็นภาษาท้องถิ่นด้วย ช่องทางนี้ใช้ระบบอัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่ ผู้ใช้จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายและควบคุมเองมากนัก เหมาะสำหรับทีมการหาผู้ใช้ (UA) ขนาดเล็กหรือคนเดียว
● Apple Search Ads (ASA) คือแพลตฟอร์มโฆษณาที่แสดงโฆษณาแบบมีค่าใช้จ่ายในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาใน App Store ช่วยให้นักการตลาดปรับปรุงการมองเห็นได้โดยตรงในผลการค้นหาของ App Store เนื่องจาก Apple ใช้ข้อมูลเมตาของแอปคุณใน App Store คุณจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางของ ASO ASA ทำงานด้วยระบบประมูลที่นักการตลาดจะประมูลคีย์เวิร์ดหนึ่งใด และผู้เสนอราคาสูงสุดจะได้แสดงโฆษณาในหน้าผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ด กลุ่มเป้าหมายของคุณต้องเป็นผู้ใช้ iOS เท่านั้น ค่าใช้จ่ายยังอาจสูงกว่า เนื่องจากค่าหาผู้ใช้ iOS มักแพงกว่า แต่ข้อดีคือโดยทั่วไปแล้วผู้ใช้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายในแอปมากกว่ากลุ่มอื่น
● ตัวจัดการโฆษณาของ Meta (ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อโฆษณาบน Facebook) จะเผยแพร่โฆษณาบนสินทรัพย์ของ Meta เท่านั้น ได้แก่ Facebook, Messenger, Instagram, แอป Oculus และแอปมือถือที่อยู่ใน Meta Audience Network โดยคุณสามารถกำหนดเป้าหมายเจาะกลุ่มประชากรหนึ่งใดได้ เช่น ตามอายุหรือสถานที่ รวมถึงกำหนดเพดานงบประมาณสูงสุด คุณสามารถเลือกงบประมาณรายวันซึ่งกำหนดจำนวนเงินที่คุณสามารถใช้จ่ายได้ต่อวัน หรืองบประมาณตามเวลาเผยแพร่ที่ไม่ได้จำกัดจำนวนเงินรายวัน แต่ช่วยให้คุณสามารถกำหนดระยะเวลาวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดการแสดงโฆษณาของคุณได้
เนื่องจากสินทรัพย์ของ Meta นั้นเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นหลัก คุณจึงจะได้รับ Conversion น้อยกว่าจาก Google Ads แต่แคมเปญแบบมีค่าใช้จ่ายบน Meta จะเพิ่มการรับรู้แบรนด์ได้มากกว่า และให้จำนวนคลิกในราคาที่ต่ำกว่า
หลีกเลี่ยงสามข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการโฆษณาแบบมีค่าใช้จ่าย
เมื่อคุณเชี่ยวชาญการใช้ช่องทางแบบมีค่าใช้จ่ายแล้ว คุณอาจเริ่มมองหาตัวเลือกอื่นๆ เช่น เครือข่ายโฆษณา แต่ไม่ว่าคุณจะลงทุนงบประมาณการหาผู้ใช้ (UA) ของคุณไปกับช่องทางใด คุณควรหลีกเลี่ยงกับดักที่พบได้บ่อย ซึ่งอาจทำให้คุณสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
● ไม่วางแผนงบประมาณ : โดยทั่วไปมักใช้เวลา 6-12 เดือนกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน งบประมาณของคุณต้องสะท้อนให้เห็นความจริงในข้อนี้ โดยเผื่อในกรณีที่ Conversion ต่ำกว่าที่คาดไว้ในตอนแรกด้วย
● ไม่ปรับชิ้นงานโฆษณาให้เข้ากับท้องถิ่น : แอปนั้นสามารถเปิดให้ใช้งานกันได้ทั่วโลกอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าชิ้นงานโฆษณาที่ได้ผลในภูมิภาคหนึ่งจะได้ผลในภูมิภาคอื่นด้วย การปรับองค์ประกอบต่างๆ ให้เข้ากับท้องถิ่นจะช่วยให้คุณใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
● พยายามทำเองทั้งหมด : การสร้างชุดเทคโนโลยีดีๆ และรวบรวมข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับการระบุที่มา เส้นทางของผู้ใช้ และการติดตาม Conversion ตั้งแต่แรกเริ่มจะช่วยให้คุณเพิ่ม ROI ได้สูงสุด
ประเด็นสำคัญที่จะช่วยให้คุณไปถึงจำนวนผู้ใช้ 1 ล้านคน
การผสมผสานกลยุทธ์การเติบโตแบบออแกนิก เช่น ASO ร่วมกับกลยุทธ์แบบมีค่าใช้จ่ายเป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโตของแอปในปี 2565 อันที่จริง ทั้งสองกลยุทธ์นี้มีความเกี่ยวข้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแพลตฟอร์มแบบบริการตนเองบางแห่งจะดึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ของคุณในแอปสโตร์มาสร้างโฆษณา ดังนั้น การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม การสร้างสรรค์ชื่อและคำอธิบายที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการสร้างโฆษณาที่น่าสนใจจึงเป็นรากฐานของหลายๆ สิ่ง ไม่เพียงแต่ ASO ของคุณ ด้วยการวางแผนและลงมืออย่างชาญฉลาด ทีมการหาผู้ใช้ (UA) ของคุณจะสามารถขับเคลื่อนแอปของคุณให้มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคนได้ในปีนี้