ทุกองค์กรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต่างตระหนักดีถึงความสำคัญของการใช้คลาวด์ และยอมรับว่าการย้ายโซลูชันภายในองค์กรไปยังคลาวด์จะก่อให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินงานต่างๆ มากมาย ต่างไปจากยุคแรกๆ ของการใช้คลาวด์คอมพิวติ้งมาก ช่วงนั้นอาจเป็นเพราะธุรกิจยังไม่คุ้นเคยกับคลาวด์ ทั้งยังกังวลเรื่องความปลอดภัย การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงการสูญเสียโซลูชันในองค์กรที่ปรับแต่งไว้มากมาย ปัจจุบันบริษัทให้บริการเทคโนโลยีคลาวด์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มคลาวด์ และแสดงให้เห็นถึงการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ความสามารถที่แข็งแกร่ง และความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งล้วนช่วยขับเคลื่อนให้องค์กรธุรกิจต่างๆ เปลี่ยนมาใช้งานคลาวด์มากกว่าที่เคยเป็นมา
เปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจ
ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจโดยใช้ระบบคลาวด์เป็นรากฐานที่สำคัญของการปรับปรุงธุรกิจให้ทันสมัย สำหรับองค์กรธุรกิจที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ลองมาพิจารณาเทรนด์สำคัญบางประการที่จะแสดงให้เห็นว่า การย้ายไปยังระบบคลาวด์ไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินธุรกิจในอนาคตอีกด้วย
1.ความจำเป็นในการขจัดข้อมูลแยกส่วน และให้ทุกฝ่ายตัดสินใจโดยใช้มาตรฐานเดียวกัน
ข้อมูลของโซลูชันภายในองค์กรมักถูกจัดเก็บเป็นแบบแยกส่วน และให้ข้อมูลเชิงลึกเพียงเล็กน้อยแก่ผู้มีอำนาจตัดสินใจที่สำคัญ ทำให้ผู้บริหาร พนักงาน และคู่ค้าไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้โดยตรง ในทางกลับกัน โซลูชันคลาวด์จะจัดเก็บข้อมูลรวมศูนย์ไว้ในคลาวด์ สร้างระบบบันทึกหนึ่งเดียวสำหรับการใช้งานขององค์กร โดยมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเข้าถึงได้จากทุกที่ทั่วโลก ระบบคลาวด์ช่วยให้มีการนำข้อมูลที่ถูกต้องไปใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำในเวลาและบริบทที่เหมาะสม ส่งผลให้องค์กรตัดสินใจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า และลดความเสี่ยงในการดำเนินงานอีกด้วย
2.ความสามารถที่ออกแบบมาเฉพาะให้แต่ละอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่ต้องมี ไม่ใช่ “มีก็ดี” อีกต่อไป
ธุรกิจต้องการให้โซลูชันทางธุรกิจของตนมีความสามารถที่ออกแบบมาเฉพาะเหมาะกับประเภทของอุตสาหกรรมนั้นๆ เพื่อให้สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำจะกำหนดค่าคุณสมบัติเฉพาะสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมไว้ล่วงหน้าในโซลูชันของตน เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจต่างๆ จะมีฟังก์ชันเฉพาะที่ตนต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องมีการปรับแก้ไขที่ซับซ้อนใดๆ ทำให้การดำเนินธุรกิจขององค์กรมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และให้รากฐานที่มั่นคงสำหรับความสำเร็จในระยะยาว
3.พนักงานในปัจจุบันล้วนต้องการได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ทันสมัย
เมื่อคนดิจิทัลยุคใหม่เข้าสู่โลกแห่งการทำงาน พวกเขาต้องการเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย และรองรับการใช้งานตามแบบที่ชอบ ซึ่งโดยปกติแล้วจะหมายถึงซอฟต์แวร์ที่มีลักษณะและให้ความรู้สึกเหมือนกับแอปพลิเคชันต่างๆ บนโทรศัพท์มือถือ และโซเชียลแพลตฟอร์มที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวัน และที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลและการทำงานร่วมกันได้ในทันที ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เทคโนโลยีคลาวด์จะช่วยให้ทุกฝ่ายทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกค้า พันธมิตร และซัปพลายเออร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศทางธุรกิจทั้งหมด
4.การปรับใช้ไฮบริดคลาวด์จะเป็นศูนย์กลางการทำงานเพราะการผสานรวมดีขึ้น
ธุรกิจต่างๆ กำลังมองหาโซลูชันที่ให้โอกาสในการเลือกพร้อมประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อที่จะสามารถใส่ใจไปกับสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างแท้จริง การเปลี่ยนไปใช้ระบบคลาวด์ทำให้ธุรกิจมีทางเลือกในการใช้งานที่หลากหลาย
ในความเป็นจริงองค์กรในปัจจุบันจำนวนมากก็มีองค์ประกอบระบบคลาวด์ที่เชื่อมโยงกับชุดโซลูชันหลักภายในองค์กรอยู่แล้ว ปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปจะเปลี่ยนจากแนวทางการใช้งานแบบไฮบริด ไปเป็นการใช้งานคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ โดยที่เทคโนโลยีสำหรับการผสานรวมยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความสะดวกในการใช้งาน เวลาในการติดตั้งเพื่อใช้งาน และต้นทุนรวม (TCO)
5.ไว้วางใจพันธมิตรระบบคลาวด์เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์
อาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตแทรกซึมอยู่ในแทบทุกอุตสาหกรรม ดังนั้น จึงสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้มั่นใจว่า ระบบและแพลตฟอร์มขององค์กรได้รับการปกป้องทางการเงิน การละเมิดข้อมูลหรือการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตทำให้ธุรกิจต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยถึง 3.92 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกิดช่องโหว่มากมายที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตี พันธมิตรระบบคลาวด์ชั้นนำของอุตสาหกรรมมีทรัพยากรสำหรับรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์พร้อมใช้งาน มากกว่าที่องค์กรส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะสามารถหามาใช้ได้เอง ดังนั้น องค์กรจึงสามารถส่งมอบหน้าที่การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และค่าใช้จ่ายที่มีนัยสำคัญเหล่านี้ให้กับพันธมิตรระบบคลาวด์ที่มีความรับผิดชอบได้อย่างวางใจ ด้วยการย้ายระบบและแพลตฟอร์มธุรกิจของตนไปยังระบบคลาวด์
6.ผลักดันให้เกิดรายได้หลังการขาย ทำให้เกิดรูปแบบธุรกิจแบบ subscription-based
ในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจต่างๆ กำลังมองหาวิธีสร้างความแตกต่าง ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า เพิ่มความสามารถในการทำกำไร ด้วยการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้หลังการขาย โซลูชันบนคลาวด์สามารถให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่เข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา ทำให้ธุรกิจสามารถเปลี่ยนข้อเสนอด้านผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิมไปเป็นรูปแบบของการให้บริการแทน อย่างเช่น โมเดลธุรกิจแบบ subscription-based เป็นต้น ฟีเจอร์ที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางเช่นนี้สามารถกลายเป็นตัวสร้างความแตกต่าง เพิ่มมูลค่าให้บริการ สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ป้องกันไม่ให้สินค้าและบริการเกิดความซ้ำซ้อน รวมถึงเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจ การใช้โมเดลธุรกิจแบบ subscription-based จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ด้านรายได้ที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามปกติตามระยะเวลาที่ลูกค้าสมัครใช้งาน ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยให้องค์กรเพิ่มการมุ่งเน้นที่ประสบการณ์ของลูกค้า ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผลกำไรของธุรกิจด้วย
ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
ธุรกิจจำเป็นต้องเปิดรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเพื่อให้ทันกับยุคสมัย เพื่อทำให้ธุรกิจคล่องตัวมากขึ้น และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและตลาดที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เช่น การขจัดการแยกส่วนของข้อมูลจะช่วยให้องค์กรทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น มีข้อมูลที่ถูกต้องและอัปเดตตลอดเวลาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ฟังก์ชันที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมช่วยให้องค์กรต่างๆ ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของตนได้ รวมถึงประสบการณ์ผู้ใช้ที่ทันสมัยและการใช้งานง่ายจะยิ่งช่วยให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โซลูชันธุรกิจที่ใช้งานบนระบบคลาวด์เป็นกุญแจสำคัญสำหรับองค์กรในการปรับวิธีดำเนินธุรกิจให้ทันสมัย ทว่าการโยกย้ายงานไปยังระบบคลาวด์ก็เป็นสิ่งที่สามารถปรับตามความเหมาะสมได้ การใช้งานแบบไฮบริดช่วยให้องค์กรใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี นำมาปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจได้ ในขณะเดียวกัน ยังอาศัยระบบเดิมที่มีอยู่ได้เพื่อใช้ฟังก์ชันการทำงานสำคัญที่อาจยังไม่พร้อมย้ายไปยังระบบคลาวด์ ไม่ว่าระบบธุรกิจขององค์กรจะอยู่ในคลาวด์ทั้งหมดหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด แต่ความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของระบบคลาวด์นั้นนับว่าแข็งแกร่ง และสามารถพัฒนาได้เร็วกว่าการใช้งานที่อยู่ในระบบขององค์กร และวิธีดำเนินการในแนวใหม่นี้จะทำให้มีโอกาสในการสร้างรายได้และโมเดลธุรกิจใหม่แบบขึ้น เช่น บริการ subscription-based เป็นต้น
คลาวด์คอมพิวติ้งได้พัฒนาไปไกลมาก ยิ่งธุรกิจรอใช้โซลูชันบนระบบคลาวด์นานไปเท่าใด การแข่งขันที่ต้องอาศัยประโยชน์จากคลาวด์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวหน้าก็ยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้นเท่านั้น (หากธุรกิจต้องการประสบความสำเร็จ) อย่ายอมที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
หลากหลายหนทางสู่ระบบคลาวด์
เมื่อองค์กรกำหนดกลยุทธ์ย้ายการดำเนินงานไปสู่ระบบคลาวด์ ขั้นตอนแรกที่สำคัญ คือ การพิจารณาลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจองค์กร เลือกเส้นทางสู่คลาวด์ที่จะขับเคลื่อนให้เกิดมูลค่าได้สูงสุด โดยมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์หนึ่งในสามข้อนี้
- ฟังก์ชันหลักของธุรกิจ
การย้ายฟังก์ชันสำคัญทางธุรกิจไปยังระบบคลาวด์ เช่น การวางแผนจัดการทรัพยากรองค์กร (ERP) หรือการบริหารจัดการด้านการเงิน สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีนัยสำคัญ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะเห็นผลตอบแทนเหล่านั้น
- กระบวนการทางธุรกิจให้แคบ
หนึ่งในวิธีสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทนจากการลงทุน คือ การมุ่งเน้นไปที่กระบวนการทางธุรกิจที่แคบ ซึ่งส่วนใหญ่จะส่งผลกระทบกับเฉพาะบางทีมภายในองค์กรเท่านั้น บ่อยครั้งที่โซลูชัน “เอดจ์” เหล่านี้มักทำให้ธุรกิจได้ประโยชน์ต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มทรัพยากรสำหรับโครงการขนาดใหญ่
- วัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
การย้ายข้อมูลไปยังระบบคลาวด์ช่วยให้ธุรกิจรวบรวมข้อมูลจากทั่วองค์กรและขจัดการเก็บข้อมูลแบบแยกส่วนได้ ซึ่งสิ่งนี้ช่วยทำให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญได้ตลอดเวลา เพื่อช่วยให้ทีมงานทั้งรายบุคคลและทั้งทีมทำงานได้ดีขึ้น