นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO ผู้นำด้านธุรกิจการจ้างเหมาบริการครบวงจร (Outsourcing Services) เปิดเผยแผนการดำเนินงานประจำปี 2565 ว่า ปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่องจากปี 2564 นี้ได้ โดยปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมีรายได้เติบโตจากปีก่อน 10% ซึ่งจะเป็นการเติบโตมากจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ
ปัจจัยแรกการที่บริษัทจะทำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการบริการการจ้างเหมาบริการครบวงจรมากขึ้นเพื่อให้เกิดการวิจัยและการพัฒนา (R&D) และนวัตกรรมใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้บริการที่สามารถตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น เพราะตลอดระยะกว่า 40 ปีที่สยามราชธานีให้บริการลูกค้ามา ได้เปิดรับฟังความต้องการของลูกค้าและปัญหาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จนสะสมเป็นประสบการณ์การทำงานร่วมกันกับลูกค้า ที่สำคัญทำให้สามารถพัฒนาแนวทางการทำงาน หรือการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ (Solution) เพื่อแก้ข้อจำกัดหรืออุปสรรคให้ลูกค้าเมื่อเกิดอุปสรรคหรือข้อติดขัดในกระบวนการทำงานอยู่ตลอดเวลา รวมถึงยังสามารถประยุกต์การแก้ไขปัญหาในกรณีที่คล้ายกันให้ลูกค้ารายอื่นได้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ปีที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในกระบวนการทำงานขึ้นมาใหม่ เช่น การใช้ระบบเพื่อเก็บข้อมูลการลงเวลา (Tiktrack) ตั้งแต่การลางาน การทำงานล่วงเวลา หรือเบี้ยเลี้ยงต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน โดยสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลผลเพื่อจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว อีกทั้งลูกค้ายังสามารถเห็นข้อมูลอย่างทันท่วงทีหรือแบบเรียลไทม์จนทำให้สามารถอนุมัติขั้นตอนต่างๆ ในรูปแบบออนไลน์ โดยไม่ต้องเสียเวลาในการติดตามเอกสาร รวมถึงยังป้องกันการสูญหายของข้อมูลได้อีก โดยสามารถจัดเก็บได้แบบไม่จำกัดพื้นที่ และที่สำคัญที่สุดคือ การได้ช่วยลดขั้นตอนการทำงานของลูกค้าได้อย่างชัดเจน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า SO พยายามจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงานมากขึ้น และปีนี้บริษัทจะมีการเผยแพร่กรณีตัวอย่างของบริษัทที่มีการใช้นวัตกรรมใหม่มาแสดงผลให้บริษัทที่สนใจลดขั้นตอนกระบวนการทำงานได้เห็นว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นอย่างไร (Outsourcing Show Case) ซึ่งอาจจะใช้วิธีการจัดสัมมนาหรือแนวทางอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อให้ธุรกิจอื่นได้สามารถนำแนวคิดเหล่านี้ไปประยุกต์การใช้งานในแบบฉบับของตัวเองได้ (Reapply)
"SO มีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถเสนอแนวคิดหรือไอเดียใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา โดยในแต่ละเดือนบริษัทจะเปิดเวทีให้ทุกหน่วยงานเสนอนวัตกรรมใหม่เพื่อมาต่อยอดกลยุทธ์การลดหรือตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทั้งเรื่องของเวลาและเงินทุน (Lean) ที่ทำมาต่อเนื่อง 2-3 ปี เนื่องจากมีเป้าหมายและให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หรือในบางกรณีจะมอบหมายให้ทีมที่รับผิดชอบโครงการได้ใช้เวทีนี้ในการนำเสนอไอเดียต่อคณะกรรมการบริษัทหรือคณะผู้บริหาร เพราะนโยบายของคณะผู้บริหารยินดีและมีความพร้อมที่จะสนับสนุน รวมถึงช่วยผลักดันร่วมผลักดันให้เกิดการทดลองสิ่งใหม่ๆ เสมอ" นายณัฐพล กล่าว
นายณัฐพล ยังกล่าวถึงปัจจัยการเติบโตที่สองของปีนี้ว่า จะมาจากการร่วมกันทำงานกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ และการเน้นการลงทุนของบริษัทมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมาได้ตั้งหน่วยงานใหม่ที่รับผิดชอบและดูแลเรื่องโครงการและการลงทุนต่างๆ โดยตรง (Investment and Project) รวมถึงการหาบริษัทสตาร์ทอัปที่มีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยี หรือหาบริษัทร่วมการลงทุน (Venture Capital หรือ VC) เข้ามาเป็นพันธมิตร รวมถึงการเปิดโอกาสให้พันธมิตรร่วมมาเป็นคณะกรรมการบริษัทสยามราชธานี เพื่อร่วมกำหนดนโยบายและทิศทางของบริษัท ซึ่งในส่วนนี้เป็นส่วนที่ซีอีโอได้เข้ามาดูแลโดยตรง
“กว่า 1 ปีที่บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากจะทำให้มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากเงินการระดมทุนที่ได้รับแล้ว ต้องถือว่ายังทำให้บริษัทมีโอกาสได้รับความไว้วางใจกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ที่มาร่วมสร้างความร่วมมือใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งในรูปแบบการเซ็นบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) หรือเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจที่เห็นว่าต่างก็สามารถทำให้เกิดกลยุทธ์ร่วมกัน หรือหาพันธมิตรที่สามารถนำมาต่อยอดให้กับแผนงาน SO ได้ ตั้งแต่ด้าน Outsourcing Solution, Software Enterprise และ Professional Training อีกทั้งยินดีเปิดบ้านต้อนรับพันธมิตร (Potential Partners) ในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงสตาร์ทอัปต่างๆ ที่พร้อมจะมาร่วมเป็นทั้งผู้พัฒนาและผู้สนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง หากเห็นโอกาสและเกิดการทำงานร่วมกันได้ SO พร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคนตลอดเวลา” นายณัฐพล กล่าว
อย่างการแต่งตั้งนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและ Group CEO บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ Bitkub มาดำรงตำแหน่งกรรมการ กรรมการอิสระ และกรรมการยุทธศาสตร์ของบริษัท เพราะถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่มั่นใจได้ว่าจะมาช่วยศึกษาและกำหนดยุทธศาสตร์ให้ฝ่ายบริหารได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปกติกรรมการยุทธศาสตร์ของบริษัทจะทำหน้าที่ช่วยกำกับให้ฝ่ายบริหารจัดทำแผนยุทธศาสตร์ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังร่วมพิจารณากลั่นกรองของฝ่ายจัดการที่มีการนำเสนอโครงการต่างๆ หรือการขยายกิจการการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมคำนึงถึงความเสี่ยงจากการลงทุนด้วยเช่นกัน รวมถึงการกำกับศึกษาความเป็นไปได้สำหรับโครงการการลงทุนในธุรกิจและติดตามความคืบหน้าจากโครงการที่ลงทุน พร้อมให้คำแนะนำต่างๆ ต่อปัญหาและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นกับโครงการได้
นายณัฐพล กล่าวต่อว่า สำหรับ ปี 2564 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีของสยามราชธานีอยู่ 3 ด้านคือ 1.การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จนสามารถเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินหรือนักลงทุน ที่ต่างมีการติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลและความเคลื่อนไหวบริษัทอย่างต่อเนื่อง 2.การจัดทัพองค์กรใหม่ให้มีการกระจายงานไม่ใช่ระบบศูนย์กลาง โดยต้องลดขั้นตอนการกระจายงานหรือลำดับขั้นลง (Agile) รวมถึงการตั้งแผนกเทคโนโลยีและแผนกการลงทุนขึ้นมาโดยเฉพาะ และ 3.การจับมือกับพันธมิตรหน้าใหม่ทางธุรกิจต่างๆ โดยเกิดความร่วมมือตั้งแต่ทางด้านการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี (IT infrastructure) และการพัฒนา Outsourcing Solution ใหม่ๆ