xs
xsm
sm
md
lg

ZTE โชว์แพลตฟอร์ม 5G สร้างโรงงานอัจฉริยะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แซดทีอี เปิดประสบการณ์เทคโนโลยี 5G ในประเทศจีน พร้อมสร้างแพลตฟอร์มบริหารจัดการโรงงานอัจฉริยะในนิคมอุตสาหกรรม

นายจาง เจียนเผิง รองประธานอาวุโส ฝ่ายการตลาดระดับโลก บริษัท แซดทีอี คอร์ปอเรชัน กล่าวว่า การพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในประเทศจีน พบว่า อุตสาหกรรมการผลิตกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัลอย่างรวดเร็ว โดยในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี แซดทีอี ได้ดำเนินการพัฒนาแนะนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ใน 15 อุตสาหกรรมในประเทศจีน เช่น อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมโลหะการทำเหมือง อุตสาหกรรมโครงข่ายระบบไฟฟ้า อุตสาหกรรมการขนส่ง อุตสาหกรรมการท่าเรือ รวมไปถึงอุตสาหกรรมสื่อยุคใหม่ และอุตสาหกรรมอื่นๆ

ทั้งนี้ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G เพื่อให้ตอบสนองการทำงานของอุตสาหกรรม พบว่า อุตสาหกรรมต่างๆ มักประสบกับปัญหาในการดำเนินการ คือ ความต้องการในการใช้งานเทคโนโลยี 5G ของแต่ละอุตสาหกรรมมีความต้องการที่แตกต่างกันอย่างมาก ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในช่วงต้นต่ำ และพบว่า บางกรณีมีต้นทุนที่สูง แต่ให้ผลลัพธ์ในด้านผลผลิตที่ไม่ชัดเจน การประสานความร่วมมือระหว่างแต่ละอุตสาหกรรมมีความยากลำบาก โดยการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลขององค์กรต้นน้ำและปลายน้ำ มีระดับการพัฒนาที่แตกต่างกัน

จากปัญหาที่พบเหล่านี้ ทำให้ได้คิดค้นวิธีการที่จะส่งเสริมการเปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัลในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยการรวมโครงสร้างพื้นฐานของ 5G เข้าด้วยกัน และจัดหาโมดูลส่วนประกอบที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมุ่งเน้นไปที่สภาพการณ์ของแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อที่จะพัฒนาให้เกิดการทำงานได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด โดยมีตัวอย่างการประยุกต์ใช้ 5G ในโรงงานที่พบได้บ่อย

คือ การใช้ Multi-Access Edge Computing (MEC) ร่วมกับวิสัยทัศน์ของเครื่องจักร หรือแมชชีนวิชัน (machine vision) ในการตรวจสอบคุณภาพการผลิตและสถานะการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ทดแทนการปฏิบัติงานด้วยมนุษย์ ซึ่งต้องจ่ายค่าแรงและมีความผิดพลาดสูงกว่า การใช้งานแมชชีนวิชันทำให้อัตราปล่อยผ่านของเสีย (defect leakage) ลดลง 80% เมื่อเทียบกับการตรวจสอบโดยมนุษย์ ความแม่นยำของระบบแยกแยะและติดฉลากอัตโนมัติเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 97% ซึ่งทำให้สามารถประหยัดค่าจ้างบุคลากร QC ได้ 50% และเพิ่มอัตราการได้ผลผลิต (production yield rate) ในขณะที่การใช้งานวิสัยทัศน์เครื่องจักรที่โรงงานของกลุ่ม Xinfengming ทำให้อัตราของเสีย (defect rate) ลดลง 60%

บริษัทมีการใช้ระบบรถเคลื่อนย้ายอัตโนมัติ (AGV) สำหรับงานอุตสาหกรรมเมื่อใช้งานร่วมกับ 5G ทำให้อุปสรรคเดิมๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้ไวไฟหมดไป โดยรถ AGV ชนิดนี้สามารถนำไปใช้งานในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่ต่างกันไป เช่น ในสภาพแสงซับซ้อน และทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการนำ AGV ออกใช้งานไปได้ 80% (deployment cost) เมื่อเทียบกับการใช้ระบบนำทางแบบดั้งเดิมเช่น QR code หรือแถบแม่เหล็ก และการบริหารกำหนดการ (scheduling) ของ AGV ผ่านแพลตฟอร์มแบบ cloud ช่วยให้ประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น 20% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อ AGV หนึ่งคันลดลง 10%

นอกจากนี้ ยังมีการใช้ 5G พร้อมกับ HD video และ Augmented Reality (AR) ช่วยให้บุคลากรด่านหน้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ โดยได้รับการสนับสนุนทันทีจากทีมต่างๆ ซึ่งไม่ได้อยู่หน้าไซต์งาน และยังเป็นการเปิดประตูสู่ประสบการณ์ใหม่ๆ ในด้านการออกแบบ การผลิต การฝึกอบรม การซ่อมบำรุง และการตรวจสอบ

โดยพบว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระยะไกล (remote technology) ทำให้ลดความต้องการทรัพยากรด้านผู้เชี่ยวชาญไปได้เกิน 30% ทั้งยังเป็นการลดความยากในการประสานการทำงานระหว่างสถานที่ต่างๆ และยังพบว่าการใช้หุ่นลาดตระเวนแบบ 5G (5G unmanned patrol robot) หนึ่งตัว สามารถทดแทนทรัพยากรมนุษย์ด้านการรักษาความปลอดภัยได้ 3-4 คนโดยหุ่นยนต์สามารถส่งภาพ 360 องศารอบทิศทาง ในระดับความชัด 4K และหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ ได้เอง

บริษัทยังได้มีการทดสอบใช้ PLC แบบ cloud (Cloud Programmable Logic Control) สำหรับระบบควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม โดยพบว่า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ PLC และลดความหน่วงของการควบคุม (control latency) ได้ต่ำถึง 10 ms โดยระบบควบคุมโรงงานที่กล่าวนี้ได้ถูกใช้งานที่โรงงานอัจฉริยะของ ZTE เอง ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหนานจิง มลฑลเจียงซู การใช้งานนวัตกรรมอัจฉริยะต่างๆ ในโรงงาน Binjiang Smart Factory ทำให้ความต้องการแรงงานด้านการผลิตต่ำกว่าโรงงานอื่นๆ 25%

นอกจากนี้ โรงงาน Yunnan Shenhuo 5G Smart Factory ในมลฑลยูนนาน ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัทและบริษัทผู้ผลิตอะลูมิเนียมรายใหญ่ Yunnan Shenhuo มีการใช้งานระบบ 5G Campus Private Network และ MEC ในการควบคุมการดำเนินการด้านต่างๆ โดยมีการใช้แมชชีนวิชันทดแทนการใช้เซ็นเซอร์อุณหภูมิดั้งเดิมเพื่อการตรวจสภาพเหล็กที่อุณหภูมิ 1,400 องศาเซลเซียส ซึ่งอุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่ใช้อยู่เดิมสามารถทนอุณหภูมิที่สูงโต่งได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะหมดอายุใช้งาน และจำเป็นต้องใช้มนุษย์ช่วยแยกแยะสีบนพื้นผิวเพื่อบ่งชี้อุณหภูมิ ซึ่งความผิดพลาดในการแยกแยะสามารถเกิดขึ้นได้ในประการหลังนี้ และยังมีการใช้แมชชีนวิชันในการเฝ้าระวังสายพานการผลิตถึง 11 จุดด้วยกัน

“สำหรับในประเทศไทย ZTE ได้ร่วมมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ในการวางระบบโซลูชัน NodeEngine ที่โรงงานยาวาต้า จังหวัดนครราชสีมา ในการใช้งาน offloading และการคำนวณแบบ edge computing ในโรงงาน ผลที่ได้พบว่า ระบบดังกล่าวนั้นเหมาะสมกับโรงงานยาวาต้าเป็นอย่างมาก โดยความหน่วงวัดได้เพียง 10 ms เท่านั้น ซึ่งตอบรับโจทย์เรื่องข้อกำหนดในการประมวลผลข้อมูลในพื้นที่ได้อย่างดี”


กำลังโหลดความคิดเห็น