อาลีบาบา (Alibaba) วางแผนเปิดศูนย์ข้อมูลแห่งแรกในเกาหลีใต้และไทยในปีหน้า 2565 ตอกย้ำยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจีนต้องการขยายธุรกิจคลาวด์ออกนอกบ้านเกิด เผยโฟกัสมุ่งเน้นที่เอเชียเพื่อชิงตลาดจากคู่แข่งอเมริกันทั้งอะเมซอน (Amazon) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) วางเป้าสร้างพันธมิตรไทยเพิ่มจาก 30 รายเป็น 100 ราย ขีดเส้นฝึกอบรมคนไอที จำนวน 20,000 คนภายในปี พ.ศ.2566 โดยมีมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสถาบันแรกในประเทศไทยที่เข้าร่วมโครงการ
นายไทเลอร์ ชิว ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า ขณะนี้อาลีบาบา คลาวด์ มีแผนตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย เพราะเล็งเห็นถึงความต้องการของธุรกิจไทยในการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำของโลก บริษัทเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลสำคัญต่อประเทศมากเพียงใด และประเทศจะได้ประโยชน์อะไรบ้างในระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงนี้
“อาลีบาบา คลาวด์ได้ทุ่มเทเพื่อให้โซลูชันต่างๆ ของเราพร้อมใช้สำหรับทุกคน รวมถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรไทย เพื่อสร้างระบบนิเวศที่รองรับอนาคตทางดิจิทัล”
ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ในประทศไทยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ และโซลูชันที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจไทยและธุรกิจจากต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สนับสนุนการดำเนินงานในระดับสากลของอาลีบาบา กรุ๊ปเอง ในด้านค้าปลีก โลจิสติกส์ Fintech สื่อและความบันเทิง และการตลาดดิจิทัล
นอกจากประเทศไทย อาลีบาบายังเชื่อว่าศูนย์ข้อมูลนี้จะขยายช่องทางเพื่อบุกตลาดสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยต่อสู้กับยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Amazon และ Microsoft ได้ เบื้องต้นมั่นใจว่าศูนย์ข้อมูลในพื้นที่สามารถช่วยให้ธุรกิจในประเทศ หรือภูมิภาคเข้าถึงบริการคลาวด์ของอาลีบาบาได้ราบรื่นยิ่งขึ้น และยังสามารถช่วยบริษัทจีนให้ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้อีกด้วย
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากอาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดอันดับจากการ์ทเนอร์ให้เป็นผู้บริการคลาวด์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเบื้องต้น การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าการเติบโตของผู้ใช้งานบริการพับลิกคลาวด์ทั่วโลกจะอยู่ที่ 23.1 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ.2564 เมื่อเทียบกับในปี พ.ศ.2563 ด้วยอัตราการใช้คลาวด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก
ในมุมของผู้ค้าปลีกไทย อาลีบาบาเชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากโซลูชันของอาลีบาบา คลาวด์ ที่รองรับการใช้งานกับลาซาด้า (Lazada) ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอาลีบาบา กรุ๊ป และจะสามารถเข้าใช้งานชุดโซลูชันต่างๆ ตั้งแต่โซลูชันในการผสานการทำงานระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์ และเครื่องมือที่ใช้สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ บนเส้นทางการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของผู้บริโภค ไปจนถึงบริการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และการตลาดที่เจาะลูกค้าเป็นรายบุคคล นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ยังให้บริการด้านต่างๆ แก่บริษัทด้านการเงินของไทย เช่น บริการที่รองรับเทคโนโลยี eKYC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการยืนยันพิสูจน์ตัวตนและการทำความรู้จักลูกค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการที่รองรับการหาลูกค้าใหม่ผ่านอุปกรณ์โมบาย และโซลูชันการให้สินเชื่อดิจิทัลที่ใช้ AI เป็นต้น
นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ยังเปิดตัว Academic Empowerment Program ซึ่งเป็นโครงการเสริมศักยภาพทางวิชาการให้นักศึกษา นักวิชาการ และนักวิจัย เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลของประเทศไทยในอนาคต ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับทรัพยากรด้านคลาวด์คอมพิวติ้งฟรี รวมถึงโอกาสในการฝึกอบรม และความช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งเป็นกลยุทธ์ 20 ปีของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมนวัตกรรมด้านดิจิทัลและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้ผู้เข้าร่วมโปรแกรม จำนวน 20,000 คน ภายในปี พ.ศ.2566 โดยมีมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในประเทศไทยที่เข้าร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ ในโครงการด้านนี้
ที่สุดแล้ว อาลีบาบา คลาวด์ ย้ำว่า การวางแผนเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งในขณะนี้ตั้งเป้าหมายจะเปิดตัวในปี พ.ศ.2565 เป็นไปเพื่อรองรับการเติบโตด้านคลาวด์ของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น และความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีผลพวงมาจากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงแนวโน้มที่เห็นชัดจากข้อมูลในรายงาน Data Center and Cloud Service in Thailand ของ BOI ได้คาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ.2570 เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะมีสัดส่วน 25% ของ GDP ของประเทศ ตัวขับเคลื่อนที่สำคัญคืออีคอมเมิร์ซ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและการใช้โทรศัพท์มือถือ รวมถึงระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ต่างๆ เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจดิทัลทั่วโลก และเป็นที่คาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของอาเซียนจะมีมูลค่าสูงถึง 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี พ.ศ.2567 ปัจจุบันผู้บริโภคไทยและในอาเซียนได้รับแรงจูงใจให้ใช้บริการดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ก็กำลังปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างมาก ซึ่งจะเพิ่มความต้องการดาต้าสตอเรจและบริการดิจิทัลต่างๆ ที่ทำงานบนคลาวด์ และอาลีบาบา คลาวด์ หวังว่าการเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของบริษัทในประเทศไทยครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จตามนโยบาย Thailand 4.0 ของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม คลาวด์คอมพิวติ้งถูกมองว่าเป็นตัวขับเคลื่อนผลกำไรหลักสำหรับอาลีบาบาในระยะยาว แม้ว่าจะคิดเป็นประมาณ 8% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในขณะนี้ โดยอีคอมเมิร์ซยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัท