การ์ทเนอร์เผย 5 อันดับเทรนด์ธุรกิจพลิกโฉมภาคการผลิตในปี 64-65 ชี้ปีนี้และปีหน้า มูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีของภาคอุตสาหกรรมการผลิตจะเติบโตเป็นบวกทั้งคู่ที่ 2.80% และ 4.41% ตามลำดับ คาดมูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีในภาคอุตสาหกรรมการผลิตจะเพิ่มเป็น 78,325 ล้านบาท
มิเชล ดูเอิสท์ รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า ผู้ผลิตหลายรายตอบสนองการแพร่ระบาดทั่วโลกด้วยการเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการผลิตจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่นั่นยังไม่เพียงพอ
“การ์ทเนอร์วิเคราะห์เทรนด์ที่สามารถช่วยซีไอโอและผู้บริหารด้านไอทีในอุตสาหกรรมการผลิตเตรียมพร้อมกับการหยุดชะงักในอนาคตที่คล้ายคลึงกันได้ในระยะยาวและรับมือกับความท้าทายต่างๆ เช่น จุดบริการลูกค้าที่ไม่เพียงพอ การเข้าสู่ตลาดหรือสินค้าไลน์ใหม่ๆ และปัญหาการเงิน ซีไอโอและผู้บริหารด้านไอทีสามารถสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้าได้ โดยประยุกต์ใช้ 5 เทรนด์ธุรกิจ”
1 ใน 5 อันดับเทรนด์การทำธุรกิจที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตทั่วโลกในปี 2564 คือการผสานประสบการณ์ดิจิทัลเข้ากับตัวสินค้า (Digital + Product Experience) เทรนด์นี้เป็นการผสมผสานระหว่างตัวสินค้าและบริการดิจิทัลเพื่อนำเสนอประสบการณ์ในรูปแบบใหม่อย่างมีเอกลักษณ์ให้แก่ลูกค้ากลุ่มธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไป การแพร่ระบาดทำให้การสร้างปฏิสัมพันธ์และการติดต่อกับลูกค้ามีข้อจำกัดเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดและส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ดังนั้น การผสานรวมเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับตัวสินค้าจะช่วยลดอุปสรรคด้านการจัดการแพลตฟอร์มให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงบริการเสริมแต่ยังสามารถเพิ่มรูปแบบการทำธุรกิจดิจิทัลใหม่ๆ ให้ผู้ผลิตสามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องหลังการขาย โดยติดต่อแบรนด์ได้มากขึ้นเช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ของแบรนด์นั้นๆ รวมถึงลูกค้ารายอื่นๆ และผู้ใช้ที่มีประสบการณ์ดิจิทัล
การ์ทเนอร์คาดการณ์ในปี 2568 บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ 50 อันดับแรกจะลงทุนในแอปของแบรนด์ตนเองโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และฝังเทคโนโลยีลงไปในสินค้า เพิ่มวิดีโอที่เป็นหนึ่งในข้อมูลดิจิทัล และ/หรือผสมผสานนวัตกรรมเข้ากับไอทีและทีมวิจัยและพัฒนา
เทรนด์ 2 คือประสบการณ์ที่ครบ จบในที่เดียว (Total Experience) เทรนด์นี้เป็นวิธีการที่ซีไอโอและผู้บริหารด้านไอทีใช้เทคโนโลยีและการโต้ตอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ พร้อมมอบอำนาจและความกล้าในการตัดสินใจให้แก่ทั้งลูกค้าและพนักงานเพื่อใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า ซึ่งการใช้แนวทางดังกล่าวนี้ ผู้บริหารด้านไอทีสามารถเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับเชื่อมต่อกับลูกค้า พันธมิตรและพนักงาน ตัวอย่างเช่น พนักงานที่มีบทบาทเป็นผู้เชี่ยวชาญแบรนด์หรือเจ้าหน้าที่ให้บริการลูกค้าและตอบคำถามต่างๆ
การ์ทเนอร์คาดการณ์ในปี 2567 องค์กรที่มุ่งเน้น Total Experience จะทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่ง 25% โดยเฉลี่ย จากการวัดความพึงพอใจของลูกค้าและพนักงาน
เทรนด์ 3 คือความร่วมมือของพันธมิตรในระบบนิเวศ (Ecosystem Partnerships) เนื่องจากองค์กรระดับโลกหลายรายสามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในระบบนิเวศสร้างโอกาสการเติบโตที่มากกว่าและไม่จำกัดอยู่ในตลาดขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมแต่ยังรวมไปถึงตลาดที่กำลังพัฒนา ในอุตสาหกรรมการผลิตการร่วมมือในระบบนิเวศสามารถสร้างสรรค์ไอเดียเพื่อริเริ่มอะไรใหม่ๆ ได้หลากหลาย ตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อโลก เปิดโอกาสให้ชุมชนใหม่ๆ ที่ยังพัฒนาได้อีกและยังเข้าไม่ถึงโอกาส และลดการปล่อยมลพิษผ่านการทำงานระยะไกล
การ์ทเนอร์คาดการณ์ในปี 2567 75% ของบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ 20 อันดับแรกจะจับมือร่วมกันในระบบนิเวศที่มุ่งสู่เป้าหมายการเติบโตและสร้างความยั่งยืน
เทรนด์ 4 คือการสร้างรายได้จากข้อมูล (Data Monetization) ซึ่งจะช่วยซีไอโอและผู้บริหารด้านไอทีในอุตสาหกรรมการผลิตวางแผนเพิ่มรายได้จากการแปลงสินค้าและให้บริการในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วขององค์กรภาคการผลิตจะเกิดการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ผู้บริหารด้านไอทีสามารถแบ่งปันและสร้างรายได้เพิ่มจากข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้ผ่านเครือข่ายระบบนิเวศขององค์กร ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยให้สามารถแปลงข้อมูลเป็นทรัพย์สินและสร้างบริการใหม่ๆ หรือนำองค์กรไปสู่ธุรกิจรูปแบบใหม่ที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องแม้ธุรกิจจะหยุดชะงักจากปัจจัยภายนอกต่างๆ ตัวอย่างเช่น ความท้าทายในด้านห่วงโซ่อุปทาน หรือการขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์
การ์ทเนอร์คาดการณ์ภายในสิ้นปี 2567 ครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ขององค์กรภาคการผลิตขนาดใหญ่ระดับโลกจะประสบความสำเร็จจากการสร้างรายได้ด้วยข้อมูล
เทรนด์ 5 คือการให้บริการผ่านอุปกรณ์ (EaaS) ชื่อเต็มคือ Equipment as a Service เป็นโมเดลเชิงพาณิชย์ที่หลายธุรกิจใช้สำหรับชำระค่าธรรมเนียมในขั้นตอนการดำเนินงานของสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำแทนที่การจัดซื้ออุปกรณ์ รูปแบบลักษณะนี้ซีไอโอจะฝังเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เพื่อใช้ประโยชน์จากการออกแบบทั่วไปและปรับเฟรมเวิร์กให้เข้ากับอุตสาหกรรมเพื่อให้แน่ใจในประสิทธิภาพของสินทรัพย์และค้นหาทางแก้ไขในสินทรัพย์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ
การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2566 20% ของผู้ผลิตเครื่องมือในอุตสาหกรรมจะสนับสนุนการให้บริการผ่านอุปกรณ์ (EaaS) ด้วยการเพิ่มความสามารถการควบคุมอุตสาหกรรมระยะไกล (Industrial IoT) จากโรงงานที่เป็นฐานการผลิต ณ ปัจจุบันที่แทบจะเป็นศูนย์