วานิชซอตฟ์แวร์ (Varnish Software) ประกาศเปิดตัวโซลูชันหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานระบบเครือข่ายบริการคอนเทนต์ (CDN) ทั้งบริการแบบวิดีโอออนดีมานด์ (VOD) และบริการไลฟ์วิดีโอถ่ายทอดสดผ่านอินเทอร์เน็ต ชูประสิทธิภาพขีดสุดระดับ 400 กิกะบิตต่อวินาที ในงาน Mobile World Congress 2021
ลาร์ส ลาร์สสัน ซีอีโอ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Varnish Software กล่าวว่า จากการร่วมมือทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างบริษัทและอินเทล ในการบุกเบิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้านประสิทธิภาพของโซลูชันระบบ CDN บริษัทไม่เพียงแค่เข้าใกล้ความเร็วในระดับเดียวกับการใช้งานบนสาย และปลดล็อกความสามารถในการรองรับความต้องการสตรีมมิ่งจำนวนมาก แต่ยังทำให้ต้นทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการทำเช่นนั้นยังช่วยลดความยุ่งยากในการปรับใช้เช่นกัน
"ทำให้เห็นว่าผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายสามารถนำเอาโซลูชันไปใช้งานและบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพบนเครือข่ายตนเองได้อย่างไร”
Varnish Software เป็นหนึ่งในพันธมิตรกลุ่มธุรกิจโซลูชันระบบเครือข่ายของ Intel Network Builders ได้ทดสอบประสิทธิภาพของโซลูชัน Varnish Edge Cloud ภายใต้สภาพการใช้งานจริง โดยระบบทดสอบใช้โปรเซสเซอร์ Intel Xeon แบบปรับขนาดได้ เจเนอเรชัน 3 ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนด Intel Select Solution ในการใช้งานกับ Visual Cloud Delivery Network โดยที่เซิร์ฟเวอร์ที่ทำการทดลองทั้งหมดนี้ได้รับการปรับแต่งเพิ่มเติมด้วยฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงความสามารถในการทำงานร่วมกับสถาปัตยกรรมหน่วยความจำที่ใช้ร่วมกันสำหรับมัลติโปรเซสเซอร์ (NUMA)
ผลทดสอบจากการเปิดตัวสาธิตการทำงานครั้งแรกแบบเสมือนในงาน Mobile World Congress เมืองบาร์เซโลนา ปรากฏว่าในส่วนประสิทธิภาพวิดีโอออนดีมานด์บน CDN (1 Socket) พบว่าความเร็วในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายความเร็วสูงสุดถึง 192 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps.) ด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Xeon แบบปรับขนาดได้ พร้อมกับหน่วยบันทึกข้อมูลแบบ SSD รุ่นที่ 4 Intel DC P5510
สำหรับประสิทธิภาพวิดีโอออนดีมานด์บน CDN (2 Socket) พบว่า ความเร็วในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายสูงสุดถึง 383 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps.) ด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Xeon แบบปรับขนาดได้ พร้อมกับหน่วยบันทึกข้อมูลแบบ SSD รุ่นที่ 4 Intel DC P5510
ขณะที่ประสิทธิภาพในการทดสอบการถ่ายทอดวิดีโอไลฟ์สดบน CDN พบว่าผลทดสอบมีประสิทธิภาพสูงขึ้นสูงสุด 1.74 เท่า บนแพลตฟอร์มใช้โปรเซสเซอร์ Intel Xeon แบบปรับขนาดได้ พร้อมรองรับ Intel Optane persistent memory 200 series เทียบกับผลการทดสอบกับฮาร์ดแวร์รุ่นก่อนหน้า
สำหรับกลุ่มของผู้ผลิตสินค้าตามสั่ง ผู้ติดตั้งระบบ และผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อสาร ผลการทดสอบนี้ยังส่งผลไปยังเรื่องของการกำหนดวิธีการเฉพาะในการสร้างโซลูชัน CDN ที่รวดเร็วขึ้น คุ้มค่ากว่า ซึ่งสามารถจัดการผู้ใช้จำนวนมากขึ้นด้วยโซลูชันแบบเดียวกัน หรือให้บริการเนื้อหาที่มีความละเอียดสูงกว่าแก่ผู้ใช้จำนวนใกล้เคียงกัน การผสมผสานระหว่างซอฟต์แวร์ประสิทธิภาพสูงในการแคชชิ่งข้อมูลของ วานิชและโปรเซสเวอร์สำหรับงานประมวลผลรุ่นล่าสุดจากอินเทล ทั้งหมดเป็นที่มาของประสิทธิภาพทั้งในเรื่องของความสามารถในการทำงาน การส่งข้อมูลเข้าและออก รวมถึงประสิทธิภาพในการประมวลผลที่จำเป็นต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการถ่ายทอดคอนเทนต์ออกสู่ผู้รับบริการ
เอสเพน บราสเตด รองประธานฝ่ายวิศวกรรม ของ Varnish Software เสริมว่า การเป็นพันธมิตรกับอินเทลนั้น ช่วยให้สามารถเสริมประสิทธิภาพได้ทั้งบนซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ให้ทำงานได้ตอบโจทย์ความต้องการของระบบเครือข่ายได้มากที่สุด
"ผลทดสอบประสิทธิภาพล่าสุดของเราส่วนหนึ่งเกิดจากความสามารถในการเข้าถึงสถาปัตยกรรมหน่วยความจำที่ใช้ร่วมกันสำหรับมัลติโปรเซสเซอร์ (non-uniform memory access, NUMA) ที่มีอยู่ในซอฟต์แวร์รุ่นล่าสุดของวานิชช่วยให้ซีพียูแต่ละตัวบนแพลตฟอร์มระบบโปรเซสเซอร์แบบคู่สามารถเข้าถึงหน่วยความจำโดยตรงและรวดเร็ว”