สกาย เชน ผู้อำนวยการ 'การ์มิน ประเทศไทย' (Garmin Thailand) ยิ้มโชว์ฟันขาวเมื่อได้ฟังคำถามว่า 'คิดว่าช้าเกินไปไหม? ที่ตัดสินใจเปิดสำนักงานในไทยหลังจากทำตลาดมานานกว่า 20 ปี'
หลังจากยิ้ม หัวเรือใหญ่การ์มิน ประเทศไทยยืนยันว่าไม่มีคำว่าช้าเกินไป เพราะตั้งแต่ปี 2543 ธุรกิจของการ์มินในประเทศไทยสามารถขยายฐานตลาดได้แน่นหนา และมีการเติบโตที่ดีทุกปี รวมถึงพันธมิตรหลักยุคบุกเบิกอย่างบริษัท จีไอเอส จำกัด บริษัทในกลุ่มบริษัทซีดีจี ก็ต้องการให้บริษัทแม่ของการ์มินมาลงทุนในไทยให้มากขึ้นในช่วงนี้
เหตุผลสำคัญของการลงทุนเพิ่ม คือ การรับมือกับความนิยมนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ที่ร้อนแรงขึ้นในเมืองไทย วันนี้ประเทศไทยมีประชากร 70 ล้านคน นับเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงไม่น่าแปลกใจที่การ์มินจะเจียดเงินมาลงทุนเพิ่มเพื่อช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าไทยได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตก้าวกระโดด
ที่ใช้คำว่า 'เจียดเงิน' นั้นไม่ใช่การกระทบกระเทียบ แต่เป็นคำพูดให้เห็นภาพว่าวันนี้การ์มินเป็นบริษัทเงินหนาตัวจริง จากปี 59 ที่รายได้ 29% ของบริษัทมาจากอุปกรณ์นำทางในยานยนต์ บริษัทสามารถปรับตัวจากภาวะตลาดอุปกรณ์นำทางส่วนบุคคล (PND) ถูกแทนที่ด้วยสมาร์ทโฟนและระบบ GPS ที่ถูกฝังมาครบในรถยนต์ จนทำให้รายได้ 90% ในปี 63 เกิดจากกลุ่มผู้เล่นกิจกรรมกลางแจ้ง ฟิตเนส เรือเดินทะเล และการบิน เบ็ดเสร็จแล้วรายได้รวมในปี 63 ของการ์มินเติบโตขึ้นเกือบ 40% จากปี 59
ไม่ใช่แค่ความสามารถในการปรับตัวของบริษัท แต่ต้องยอมรับว่าการ์มินได้รับประโยชน์เต็มที่จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ผลิตภัณฑ์ใหม่ของการ์มินได้รับความนิยมเนื่องจากบริษัทเพิ่มงบวิจัยและพัฒนา (R&D) ต่อเนื่องหลายปี ทำให้ยิ่งแข็งแกร่งเมื่อผู้บริโภคสนใจทำกิจกรรมกลางแจ้งมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นอิทธิพลจากการระบาดของโควิด-19 ส่งให้การเติบโตของรายได้รวมปี 63 ของการ์มินเพิ่มขึ้นอีก 11% สามารถกวาดรายได้ทั่วโลก 4,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 125,700 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4 รายได้ของการ์มินเติบโตไม่ธรรมดา 23%
การเติบโตนี้ทำให้การ์มินไม่แคร์ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากโควิด-19 ตรงกันข้าม บริษัทเทเงินลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวดี จุดนี้ผู้อำนวยการการ์มินประเทศไทยเผยด้วยความมั่นใจว่าเพราะผลิตภัณฑ์การ์มินเหมาะสมในการทำตลาดหลังโควิด-19
***โควิด-19 ให้อานิสงส์
กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจกลางแจ้ง ทั้งการตั้งแคมป์ การวิ่ง การดำน้ำ และการพายเรือ ล้วนได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลกทั้งช่วงก่อนและหลังโควิด-19 ความนิยมนี้ส่งผลดีกับยอดขายสมาร์ทวอทช์ของการ์มิน เพราะผู้ใช้สามารถรับประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ผ่านระบบนำทาง GPS เทคโนโลยีโซนาร์ที่ใช้ตรวจหาวัตถุในน้ำที่ไม่มีในแบรนด์อื่น รวมถึงการประยุกต์กับหลักการวิทยาศาสตร์การวิ่งซึ่งการ์มินย้ำว่า 'ไม่มีใครทำ' แต่การ์มินทำจนกระทั่งผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากข้อมูลที่หลากหลายกว่า
ในยุคโควิด-19 เช่นนาทีนี้ การ์มินย้ำว่ามองเห็นศักยภาพการเติบโตของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (Wearable Devices) ในประเทศไทย และคนไทยมีความต้องการให้สมาร์ทวอทช์ที่ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย หรือทุ่มเทกับการเล่นกีฬาและทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยสามารถวัดผลลัพธ์และมอนิเตอร์ตัวเองอย่างแม่นยำ ปัจจัยบวกที่โดดเด่นในตลาดไทยคือ กระแสของผู้บริโภคที่โฟกัสกับการใช้ชีวิตแอ็กทีฟและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เห็นได้จากจำนวนครั้งในการทำกิจกรรมบนแพลตฟอร์มการ์มินคอนเทนต์ (Garmin Connect) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สถิติระบุว่า กิจกรรมในร่ม (Indoor Activities) ของผู้ใช้การ์มินเพิ่มสูงกว่า 55% โดยกิจกรรมที่ได้รับความนิยม ได้แก่ คาร์ดิโอในที่ร่ม และโยคะ ในขณะที่กิจกรรมกลางแจ้ง (Outdoor Activities) เพิ่มสูงกว่า 25% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มกีฬากอล์ฟ และจักรยาน และสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในตัวเลขรายได้ของกลุ่มสินค้าซีรีส์ DESCENT สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาดำน้ำ ที่เติบโตกว่า 80% รายได้กลุ่มสินค้าซีรีส์ APPROACH สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬากอล์ฟโตขึ้น 170% ขณะที่รายได้ของกลุ่มสินค้าซีรีส์ EDGE สำหรับผู้ที่รักในการปั่นจักรยาน เติบโตขึ้น 60% ขณะที่รายได้ของกลุ่มสินค้าซีรีส์ VENU เพิ่มขึ้น 20%
สถิติเหล่านี้ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดอุปกรณ์อัจฉริยะสวมใส่ได้ของประเทศไทยปี 63 ที่พบว่าเติบโต 7% ยอดจำหน่ายรวมคือ 970,000 ชิ้น ตลาดมีแนวโน้มเติบโตได้อีกเพราะการสำรวจพบว่าคนไทย 54% ไม่ได้เป็นเจ้าของอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว โดย 26% ระบุว่า เป็นเจ้าของสมาร์ทวอทช์ อีก 11% เป็นเจ้าของอุปกรณ์ติดตามสถิติฟิตเนส และเพียง 9% เท่านั้นที่เป็นเจ้าของทั้งสมาร์ทวอทช์และอุปกรณ์ติดตามสถิติฟิตเนส
ในภาพรวมบริษัทไม่ได้วางแผนจะลดจำนวนผู้บริโภคไทย 54% ที่ไม่ได้ใช้งานอุปกรณ์อัจฉริยะสวมใส่ได้ โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่การ์มินแบรนด์เดียว แต่อยู่ที่ภาพรวมอุตสาหกรรมที่จะยกระดับภาพจำของผู้บริโภคว่าอุปกรณ์สมาร์ทแทรกเกอร์จะสามารถช่วยและสร้างประโยชน์ในชีวิตประจำวันมากเพียงใด สิ่งที่การ์มินจะทำคือการเปิดให้ลูกค้าได้เห็น และสัมผัสได้ถึงประโยชน์ที่แท้จริง บนเป้าหมายที่บริษัทต้องการเห็น คือ การพาการ์มินไปสู่ข้อมือของทุกคน
***ขายดีหมดสต๊อก
การสำรวจยังพบว่า ความต้องการของผู้บริโภคไทยกำลังย้ายจากรุ่นโลว์เอนด์หรือรุ่นเริ่มต้นไปยังรุ่นระดับกลาง-สูง สัดส่วนตลาดรุ่นราคาประหยัดลดลง สวนทางกับรุ่นราคาสูงที่กำลังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ดีมานด์ในตลาดไทยกำลังขยายออกนอกตลาดนักกีฬา ไปสู่กลุ่มผู้หญิงและแฟชั่นมากขึ้น เห็นได้ชัดจากรุ่นล่าสุดที่การ์มินเพิ่งเปิดตัวด้วยจุดขายตัวเรือนเล็กที่สุดเหมาะกับผู้หญิงอย่างรุ่น Lily นั้นขายดีมากจนหมดสต๊อกใน 1 สัปดาห์
สิ่งที่การ์มินมองในช่วงหลังจากนี้คือการขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกด้านที่มีโอกาส ทั้งการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับการเล่นกอล์ฟ และอุปกรณ์สำหรับการดำน้ำ ซึ่งครอบคลุมตลาดอื่นที่ไม่ใช่สมาร์ทวอทช์ด้วย สำหรับประเทศไทย การเปิดสำนักงานในไทยอย่างเป็นทางการจะทำให้บริษัทคว้าโอกาสในการขายสินค้ามากขึ้นหลังจากเปิดตลาดไทยมานานกว่า 20 ปี และจากนี้ชาวไทยจะได้เห็นสินค้าการ์มินวางจำหน่ายใน 5 หน่วยธุรกิจเครือเซ็นทรัล ทั้งเพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต บีทูเอส และห้างเซ็นทรัล รวมถึงร้านค้าย่อยทั่วไทย
การเปิดสำนักงานใหม่ในเมืองไทยของการ์มินนั้นเกิดขึ้นพร้อมกับเวียดนาม ซึ่งแปลว่าไทยและเวียดนามเป็น 2 ตลาดล่าสุดที่การ์มินมองว่าต้องการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังด้วยตัวเอง คาดว่าการลงทุนใน 2 ประเทศนี้จะมีลักษณะคล้ายกัน ทั้งการตั้งทีมการตลาด ทีมขาย ทีมบริการลูกค้าและบริการหลังการขาย เพื่อสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้า โดยการ์มินประเทศไทยจะมีบริการรับสินค้าถึงหน้าบ้านแบบ door-to-door (D2D) ในไตรมาสแรกของปี 2564 ร่วมกับการลงทุนทำคอลเซ็นเตอร์ในสำนักงาน การขยายจุดรับส่งสินค้า 300 จุดทั่วประเทศไทย และการทำงานร่วมกับดิสทริบิวเตอร์เพื่อขยายบริการที่ทั่วถึงยิ่งขึ้นในอนาคต
การ์มินย้ำว่า มีแผนจะเปิดตัวสินค้าใหม่ทุกเดือน เช่น ในช่วงเดือนที่แล้วมีการออกนาฬิกาบางที่สุดสำหรับผู้หญิง ขณะที่เดือนมีนาคมมีการออกนาฬิกาสำหรับผู้เล่นอีสปอร์ต ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นักกีฬาอีสปอร์ตจะสามารถบอร์ดแคสต์สถิติอัตราเต้นของหัวใจ (heart rate) ขณะเล่นได้ ยังมีนาฬิกาที่นักดำน้ำจะสามารถเห็นปริมาณแก๊สได้จากหน้าจอนาฬิกา ทั้งหมดนี้ทำบนเป้าหมายสูงสุดคือการเซอร์ไพรส์ลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกเดือน
เห็นแล้วใช่ไหมว่า กำเนิด 'Garmin ประเทศไทย' ใช้เวลา 20 ปีไม่สายเกินไปแน่นอน