โลกต้องบันทึกว่า Surface Pro 7+ คือประวัติศาสตร์บทใหม่ในธุรกิจดีไวซ์ของไมโครซอฟท์ จากที่เคยเปิดกว้างให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้ซื้อ Surface จากร้านค้าปลีกทั่วไป วันนี้ Surface Pro 7+ รุ่นล่าสุดถูกกำหนดให้ทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายลูกค้าองค์กรเท่านั้น เกิดเป็นคำถามว่าวิธีนี้จะทำให้ไมโครซอฟท์พลาดโอกาสที่เคยมีไป หรือว่านี่คือความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ยอดเยี่ยมซึ่งเหมาะสมแล้วในสมรภูมิพีซียุคโควิด-19
ปกติแล้ว ไมโครซอฟท์มักจะออก Surface Pro รุ่นใหม่ทุกปี แต่ปีนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อซัปพลายเชนสำหรับการผลิตอุปกรณ์ไอทีอย่าง iPhone 12 รวมถึง Xbox Series X ของไมโครซอฟท์ และอีกหลายสินค้าของหลากบริษัทล้วนหนีไม่พ้นชะตากรรมนี้ การไม่มี Surface Pro 8 ใหม่ในปี 64 จึงไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ
สิ่งที่ไมโครซอฟท์เลือกทำคือ การไมเนอร์เชนจ์ Surface Pro 7+ ยกระดับคุณสมบัติเด่นของเครื่องขึ้นใหม่เหมือนกับที่ค่ายรถยนต์ทำ แล้วปรับกลยุทธ์จากเดิมที่หวังโกยเงินจากกระเป๋าผู้บริโภค มาเจาะเฉพาะลูกค้าองค์กรและภาคการศึกษา การเปิดตัว Surface Pro 7+ อย่างเป็นทางการกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสินค้ากลุ่ม Surface for Business ซึ่งมีโอกาสสูงที่ไมโครซอฟท์จะจองตลาดผู้บริโภคไว้ให้ Surface Pro 8 ที่จะออกมาในอนาคต
***ทำไมไม่ใช่ Surface for Consumer?
เมื่อถามว่าทำไมไม่กำหนดเป้าหมาย Surface Pro 7+ ไว้ที่ผู้บริโภค ไมโครซอฟท์อธิบายว่าได้พัฒนา Surface เพื่อจับกลุ่มลูกค้าทั่วไปและองค์กรแยกกันมาหลายปีแล้ว เนื่องจากแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกัน บริษัทจึงพัฒนาให้ตอบโจทย์แต่ละกลุ่มให้มากที่สุด จนเกิดเป็น Surface for Business ที่มาพร้อม Windows 10 Pro บนระบบรักษาความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น และปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้าองค์กร
แปลว่า Surface Pro 7+ นั้นถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าองค์กรและการศึกษาโดยเฉพาะ เหตุผลที่ไมโครซอฟท์มองคือเนื่องจากชาวโลกวันนี้ทำงานนอกสถานที่และเรียนที่บ้านมากขึ้น ทำให้มีความต้องการอัปเดตการเชื่อมต่อผ่าน LTE รวมไปถึงการแยกเก็บรักษาข้อมูลบน SSD ที่แยกออกจากเครื่องให้มั่นใจยิ่งขึ้นไปว่าข้อมูลจะได้รับการรักษาอย่างปลอดภัย
คุณสมบัติใหม่นี้อาจไม่ว้าวพอสำหรับแฟนไมโครซอฟท์ที่รอ Surface Pro รุ่นใหม่ แต่ในมุมลูกค้าองค์กร การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถูกมองว่าจะมีผลดีอย่างมากต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ เพราะการเชื่อมต่อ 4G LTE ทำให้ Surface Pro 7+ เป็นรุ่นแรกในตระกูล Surface Pro ที่เพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อแบบจับต้องได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถออนไลน์ได้เมื่อไม่มี Wi-Fi โดยไม่ไปชูจุดขายที่ 5G ซึ่งยังไม่ครอบคลุมและเกินจำเป็น
ผู้บริโภคบางรายอาจผิดหวังที่ Surface Pro 7+ ไม่ได้ถูกออกแบบหน้าตาใหม่ และมีแรมให้เพียง 32GB แต่ปัญหานี้ไม่สำคัญกับลูกค้าธุรกิจและภาคการศึกษา นอกจากนี้ SSD แบบถอดได้ยังเย้ายวนน่าประทับใจ เรื่องนี้ไมโครซอฟท์รู้ดีเพราะเคยพัฒนาคุณสมบัตินี้ใน Surface Pro X มาก่อนในปี 62
การที่ Surface Pro 7+ให้บริการเฉพาะผู้ใช้บางกลุ่มถือเป็นอีกการทดลองครั้งใหม่ที่ไมโครซอฟท์ตัดสินใจทำกับสินค้ากลุ่ม Surface รอบนี้ไมโครซอฟท์ยังใช้เครื่องหมายบวกเพื่อแยกความแตกต่างของสินค้าเหมือนที่คู่แข่งอย่างแอปเปิลเคยทำด้วยซึ่งการเติมคำว่า ‘พลัส’ ก็ช่วยให้ไมโครซอฟท์สร้างความชัดเจนในการอัปเกรดได้ และทำให้เกิดความรู้สึกว่าผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากคุณสมบัติใหม่ที่มีมาให้อย่างแท้จริง
ใครที่ทำงานในภาคการศึกษาหรือองค์กรธุรกิจอาจมองว่า Surface Pro 7+ เป็นตัวเลือกน่าสนใจ เพราะอายุการใช้งานแบตเตอรี่ 15 ชั่วโมง มากกว่า Surface Pro 7 ในปี 62 อย่างเห็นได้ชัด ตัวเครื่องมาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ใหม่จากอินเทล รุ่นเริ่มต้นราคา 30,900 บาท และรุ่น LTE เริ่มต้นที่ 39,900 บาท ราคานี้ไมโครซอฟท์เชื่อว่าจะสามารถแข่งขันได้ในช่วงที่ Surface ทำรายได้ดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี เนื่องจากมีกระแสซื้อพีซีเพื่อไปเรียนและทำงานจากบ้าน
***รายรับ Surface โต 37% ต่อปี
ในระดับโลก รายรับ Surface เติบโตขึ้น 417 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 37% ต่อปี ปัจจัยหนุนคือความแตกต่างของรอบระยะเวลาในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ การปรับช่องทางการจำหน่าย และดีมานด์ความต้องการของตลาดพีซี คาดว่าความต้องการพีซีระบบปฏิบัติการ Windows รวมถึง Surface จะยังคงเติบโตในยุคที่ผู้คนทำงานจากบ้านมากขึ้น
แม้จะทำรายได้ดีขึ้น แต่ไมโครซอฟท์ก็ยังครองตลาดฮาร์ดแวร์พีซีได้เล็กกว่าแอปเปิล เดลล์ เอชพี และเลอโนโว ก่อนหน้านี้ ธุรกิจ Surface เริ่มต้นจากการเปิดตัวในปี 2555 ภายใต้อดีตซีอีโอ ‘สตีฟ บอลเมอร์’ จนกระทั่ง ‘สัตยา นาเดลลา’ เข้ามาแทนที่ในปี 57 เมื่อเวลาผ่านไป ไมโครซอฟท์ลดการให้ความสำคัญกับตลาดผู้บริโภคลง มีการตัดสินใจออกจากตลาดอีบุ๊ก และการสตรีมเพลง จนขณะนี้มีการแจ้งเกิด Surface for Business สำหรับผู้ใช้ทางธุรกิจโดยเฉพาะ
ตลอดเวลามากกว่า 8 ปีที่ไมโครซอฟท์เริ่มต้นธุรกิจ Surface ชัดเจนว่าเจ้าพ่อซอฟต์แวร์ไอทีพยายามปรับแผนดำเนินงานให้เข้ากับความต้องการยุคใหม่ มีการแตกสายผลิตภัณฑ์ออกเป็นหลายกลุ่มจนปัจจุบันมีทั้ง Surface Go, Surface Pro, Surface Pro X, Surface Labtop3, Surface Laptop Go, Surface Book, Surface Studio, Surface Hub และที่ลือกันคือ Surface Duo และ Surface Neo
ล่าสุด ไมโครซอฟท์ย้ำว่าบริษัทได้ค้นพบการเรียนรู้ที่สำคัญจากการพูดคุยกับลูกค้าและงานวิจัย 4 ประการ หนึ่งในนั้นคืออนาคตของการทำงานและการเรียนรู้จะเป็นแบบผสมผสานและต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น เนื่องจากมุมมองเกี่ยวกับการทำงานจากที่ไหนก็ได้นั้นเปลี่ยนไป โดย 82% ของผู้บริหารในองค์กรกล่าวว่า มีนโยบายสำหรับการทำงานที่บ้านที่ยืดหยุ่นขึ้นหลังเกิดโรคระบาด และพนักงาน 71% ต้องการทำงานจากที่บ้านต่อ โดยหลายคนแบ่งพื้นที่บางส่วนในบ้านมาเป็นพื้นที่ทำงาน ขณะที่บางคนย้ายไปทำงานตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การเชื่อมต่อยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน และการที่หลายคนในครอบครัวมีการเชื่อมต่อจากที่บ้าน การใช้งานเครือข่ายที่หนาแน่นทำให้ผู้คนเริ่มหันมาใช้ hot spot จากโทรศัพท์มือถือบ่อยขึ้นในการประชุม เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่สามารถรองรับได้ไหว
ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ได้เรียนรู้จากงานวิจัยว่าการพูดคุยผ่านกล้องกลายเป็นนิยามใหม่ของการเห็นหน้ากันไปแล้ว เพราะการพูดคุยกันผ่านวิดีโอคอลทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานทางไกลร่วมกับทุกคนในห้องประชุมเดียวกัน โดยอีกประเด็นสำคัญคือระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร จากออฟไลน์สู่คลาวด์จะต้องมีการให้ความสำคัญมากกว่าเดิม
สำหรับแนวโน้มตลาดดีไวซ์เชิงพาณิชย์หรืออุปกรณ์สำหรับลูกค้าองค์กรในปี 64 ไมโครซอฟท์มองว่าโดยรวมได้เห็นยอดขายพีซี Windows ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก คาดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะความต้องการที่เพิ่มขึ้นมากตามการลงทุนของบริษัทในเอเชียแปซิฟิกและในไทย ซึ่งล้วนต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์การทำงานและการเรียนออนไลน์
‘เราเรียนรู้ว่าตลาดมีความต้องการที่หลากหลาย และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลทำให้ Surface เติบโตในทุกรุ่น เพราะว่าลูกค้าสามารถเลือก Surface รุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองได้ทั้งในแง่ของฟีเจอร์และราคา’ ไมโครซอฟท์ทิ้งท้าย ด้วยความเชื่อมั่นว่า Surface Pro 7+ และอีกหลายรุ่น Surface จะช่วยพาไมโครซอฟท์ให้เติบโตยิ่งขึ้นในโลกหลังโควิด-19
ส่วนผู้บริโภคที่อยากได้ Surface อาจต้องสนใจแต่ Surface Pro 7 ธรรมดาไปก่อนแก้ขัด