“พล.อ.ประยุทธ์” ปลื้มโครงการคลาวด์ภาครัฐ หลังพบความต้องการใช้งานปี 2564 จ่อ 40,000 วีเอ็ม สั่งกระทรวงดีอีเอสหางบประมาณเพื่อรองรับการให้บริการเบื้องต้น 32,000 วีเอ็ม กางแผนรัฐบาลดิจิทัล คาดปี 2566 ภาครัฐมีแพลตฟอร์มเดียวกันในการให้บริการภาครัฐแบบบูรณาการ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในการเป็นประธานเปิดงาน “Gov Cloud 2020” The Future of Digital Government ซึ่งจัดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ร่วมกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ว่า การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลดิจิทัลเกิดขึ้นบนโครงสร้าง GDCC หรือ Government cloud และจะไม่หยุดเพียงระดับของการให้บริการด้านดิจิทัลเท่านั้น
ก้าวต่อไปของรัฐบาลดิจิทัล คือ การยกระดับระบบงานภาครัฐบน Government Cloud ให้เกิดเป็น Government as a Platform หรือแพลตฟอร์มกลางภาครัฐ เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมอำนวยความสะดวกเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนผ่านคลาวด์กลาง
ส่งผลให้เกิดการใช้ประโยชน์ข้อมูลให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นในทุกภาคส่วนแบบเรียลไทม์ทันสถานการณ์ รวมไปถึงการจัดทำระบบข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open data) ที่จะเพิ่มศักยภาพและความโปร่งใสของข้อมูลภาครัฐในด้านต่างๆ ทั้งด้านบริการประชาชน ด้านการเงิน ด้านสาธารณสุข ด้านพลังงาน ด้านการท่องเที่ยว ด้านการสื่อสาร และด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ เป็นต้น และยังเป็นการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศไทยในกระแส New Normal และสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ด้าน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส กล่าวว่า ระบบคลาวด์กลาง หรือ Gov Cloud จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านไอทีให้แก่รัฐบาลเพื่อก้าวสู่การทำงานแบบรัฐบาลดิจิทัลตามแผน โดยปี 2563 เน้นบริหารจัดการ Cloud Infrastructure เพื่อให้บริการทรัพยากรระบบคลาวด์แก่หน่วยงานรัฐซึ่งล้วนมีความตื่นตัวกับเทคโนโลยีและให้ความสนใจอย่างมากในการนำระบบงานมาใช้บนคลาวด์กลาง
ส่วนภายในปี 2564 มุ่งสู่การสร้างบริการระดับแพลตฟอร์มที่ทุกหน่วยงานสามารถเชื่อมต่อกันได้ จากนั้นปี 2565 โฟกัสการขยายผลการใช้ AI ในด้านเกษตรกรรม และด้านอื่นๆ รวมทั้งการนำร่องระบบ Data Sharing มีการแบ่งปันข้อมูลข้ามหน่วยงานผ่านแพลตฟอร์มกลางเพื่อขยายผลนำไปสู่การใช้ AI และ IoT ในวงกว้าง และภายในปี 2566 มุ่งสู่การขับเคลื่อนนโยบายการให้บริการข้อมูลภาครัฐแบบเปิดในรูปแบบ Government as a Platform ที่มีการบูรณาการข้อมูลร่วมกันด้วยแพลตฟอร์ม มุ่งไปสู่การให้บริการภาครัฐแบบเปิดอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม หลังจากโครงการ Gov Cloud เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2562 ได้มีหน่วยงานรัฐเข้าใช้งานระบบเต็มจำนวนของปีงบประมาณ 2563 แล้ว 8,000 วีเอ็ม และในปีงบประมาณ 2564 จะสามารถรองรับบริการได้อีกเป็น 12,000 วีเอ็ม คาดว่าจะเสร็จภายในเดือน ม.ค.2564 ขณะที่ความต้องการใช้งานของภาครัฐมีมากถึง 40,000 วีเอ็ม จากสถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่งให้มีความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้นกว่าที่เคยมีความต้องการแต่แรก
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จึงได้สั่งการให้กระทรวงดีอีเอสหาวิธีการได้มาซึ่งงบประมาณ โดยอาจจะเป็นงบประมาณกลางปี หรืองบประมาณจากกองทุนต่างๆ เพื่อให้อย่างน้อยสามารถรองรับความต้องการใช้งานให้ได้ 32,000 วีเอ็ม
ทั้งนี้ Gov Cloud ให้บริการหน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับ Cloud infrastructure ด้วยมาตรฐานการคัดแยกข้อมูล หรือ Data classification ที่ออกแบบรองรับการนำข้อมูลมาบูรณาการในอนาคต หรือ Data sharing ระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน รวมถึงต่อยอดการจัดการกับ Big data พร้อมเปิด Open data ข้อมูลบางส่วนให้เอกชนและประชาชน รวมถึงสตาร์ทอัปได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูล
สำหรับการทำ Data sharing เปิดเผยแชร์ใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ (pilot 15 datasets) ได้เริ่มระบบนำร่องแล้วซึ่งแต่ละปีจะมี Data set เพิ่มขึ้น และปีหน้าจะมุ่งผลักดันการทำ Data sharing ระหว่างหน่วยงานหลักๆ เนื่องจากในปัจจุบันมีกฎหมายที่ออกมารองรับการใช้ข้อมูลร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐแล้ว โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ.2562 พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.2562 และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการที่สำคัญ
ความสำเร็จเบื้องต้น คือ จำนวนหน่วยงานที่ใช้งาน Gov Cloud เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ระบบของหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งได้เริ่มมีการใช้งานจริงในการแก้ไขปัญหาและให้บริการต่างๆ โดยหน่วยงานที่ใช้ระบบคลาวด์ GDCC ในการพัฒนาระบบงานและเพิ่มประสิทธิภาพบริการประชาชนได้เข้ารับมอบโล่เกียรติคุณจากนายกรัฐมนตรีในงาน Gov Cloud 2020 ได้แก่
1.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) พัฒนาระบบ EEC-OSS โดยเป็นช่องทางคัดกรองและอำนวยความสะดวกให้นักลงทุน สามารถเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำด้วยบริการแบบ One-Stop Service
2.กรมการขนส่งทางบก ผลงาน 'Smart Bus Terminal' ระบบติดตามรถโดยสารประจำทาง แสดงตารางการเดินรถแบบเรียลไทม์ของสถานีขนส่ง 81 แห่งทั่วประเทศ ผ่าน GPS Tracking ที่ติดตั้งบนรถโดยสารประจำทางทุกคัน สามารถตรวจสอบข้อมูลการเดินทางได้ตลอดเวลา
3.ตำรวจภูธรภาค 8 พัฒนาระบบโครงการภาค 8 “4.0” ในแอปพลิเคชัน POLICE 4 ด้วย 4 ฟังก์ชันที่โดดเด่น คือ Crime Mapping แผนที่อาชญากรรมหลายมิติ, CCTV Mapping แผนที่กล้องวงจรปิดทุกตัว, Red Box QR Code ใช้แทนสมุดตรวจแบบเดิม และ Stop Walk Talk and Report ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่แบบเรียลไทม์
4.สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พัฒนาระบบ Digital Healthcare Platform เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลสาธารณสุขซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกระบบที่เกี่ยวกับผู้ป่วยโควิด-19 มาไว้ส่วนกลาง ทำให้สามารถจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน จัดตั้งศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ หรือ NEIC (National Energy Information Center) ซึ่งเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยน เชื่อมโยง บูรณาการและเผยแพร่ข้อมูลด้านพลังงานให้แก่ทุกภาคส่วน เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์ คาดการณ์ด้านพลังงานได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ