การที่โอเปอเรเตอร์เร่งลงทุนเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมการใช้งานในประเทศไทย จนทำให้ไทยเป็นผู้นำ 5G ในภูมิภาคอาเซียนนั้น เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้บรรดาแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสามารถนำสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ 5G เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วย
โดยเฉพาะในช่วงต้นที่กลุ่มผู้ซึ่งมีความต้องการใช้งาน 5G จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ ชื่นชอบเทคโนโลยีที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของราคา เพียงแต่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มาตอบโจทย์การใช้งาน ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดของ AIS พบว่า มีผู้ที่ใช้งานเครือข่าย 5G แล้วราว 4-5 หมื่นราย
ปัจจุบันการให้บริการ 5G ในประเทศไทยแก่ผู้บริโภคทั่วไปนั้นจะมีทั้งอยู่บนคลื่นความถี่ที่เรียกว่า Sub6 หรือคลื่นความถี่ต่ำกว่า 6GHz ซึ่งในประเทศไทยมีการเปิดประมูลคลื่นความถี่ 2600 MHz ที่นำมาให้บริการกันแล้ว ส่วนคลื่น 700 MHz นั้นอยู่ระหว่างการเรียกคืน และรอการจัดสรรต่อไป ซึ่งคาดว่าจะได้เริ่มใช้งานกันในช่วงต้นปี 2021 กับคลื่นความถี่ระดับ mmWave (มิลลิมิเตอร์เวฟ) ที่ประมูลคลื่น 26 GHz กันไป
เพียงแต่ว่าปัจจุบันสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั้นจะรองรับเฉพาะคลื่นความถี่แบบ Sub6 เป็นหลัก เพราะถือว่าเป็นคลื่นความถี่ที่สามารถให้ทั้งความเร็ว และพื้นที่ครอบคลุม โดยที่โอเปอเรเตอร์ไม่ต้องลงทุนสถานีฐานมากนัก
ในขณะที่การให้บริการบนคลื่น 26GHz จะได้พื้นที่ครอบคลุมต่ำกว่า จึงเหมาะกับการนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม หรือการให้บริการประเภท Fixed Wireless Network มากกว่า ดังที่เห็นได้จากการที่ AIS เริ่มนำไปให้บริการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ
ดังนั้น ในเวลานี้คลื่นความถี่หลักที่นำมาให้บริการ 5G แก่ผู้ใช้งานทั่วไป คือคลื่นความถี่ 2600 MHz ซึ่งทั้ง AIS และทรูมูฟ เอช ระบุว่า ให้บริการครอบคลุมแล้วใน 77 จังหวัด แต่จะเน้นในบริเวณที่มีการใช้งานหนาแน่นก่อน เพราะทั้ง 2 ค่ายนำมาให้บริการ 4G ควบคู่ไปด้วย
เมื่อเครือข่ายพร้อมให้บริการทั่วประเทศแล้ว มาดูกันในฝั่งของสมาร์ทโฟนกันบ้าง ที่ปัจจุบันแบรนด์ชั้นนำในฝั่งที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ต่างมีรุ่นที่รองรับการใช้งาน 5G กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว โดยเฉพาะ Huawei ที่ถือว่ามีความพร้อมมากที่สุด ไล่ตั้งแต่ Huawei Mate 30 Pro 5G Mate XS มาจนถึง P40 Pro ซีรีส์ และรุ่นเล็กอย่าง nova 7SE
ตามด้วย Samsung ที่เปิดตัวมาด้วย Galaxy S20 Ultra 5G ในรุ่นท็อปช่วงครึ่งปีแรก ก่อนไล่ลงมาเป็นรุ่นกลางอย่าง Galaxy A71 5G และปิดท้ายด้วยรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุดอย่าง Galaxy Note20 5G และ Note20 Ultra 5G
ที่เหลือก็จะมีแบรนด์ใหญ่จากจีนอย่าง OPPO ที่ส่ง Find X2 5G และ Find X2 Pro 5G รวมถึง realme X50 Pro 5G ที่รองรับการใช้งานในไทยแล้ว และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G เข้ามาทำตลาดอีกไม่ต่ำกว่า 20 รุ่น
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าสมาร์ทโฟน 5G ทุกรุ่นที่นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยจะสามารถใช้งานได้ทันที เพราะจะมีบางรุ่นที่รองรับคลื่นความถี่ที่ไทยยังไม่ได้นำมาให้บริการในเวลานี้ อย่าง 700 MHz รวมถึง 3500 MHz ที่เปรียบเหมือนคลื่นย่านความถี่กลางมาตรฐานที่ทั่วโลกใช้งาน
ทำให้ในเวลานี้ สมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งานส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มแบรนด์หลักๆ ที่มีความพร้อมในการใช้งาน 5G อย่าง Huawei Samsung OPPO และ Realme ในขณะที่แบรนด์รองลงมาอย่าง Vivo Xiaomi หรือแม้แต่ OnePlus นั้นจะมีแต่เครื่องที่ยังไม่รองรับคลื่นความถี่ 2600 MHz
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ปัจจุบันจะมี 5 สมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ที่ถือว่าเป็นรุ่นแฟลกชิปของแต่ละค่าย ซึ่งได้ปรับแต่งมาให้รองรับการใช้งาน 5G ในประเทศไทย ตั้งแต่แกะออกจากกล่อง เมื่อลงทะเบียนกับทางโอเปอเรเตอร์ก็พร้อมใช้งานได้ทันที
*** Huawei P40 Pro+ เด่นที่กล้อง 5 เลนส์
เริ่มกันจาก Huawei P40 ซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็น Huawei P40 Huawei P40 Pro และ Huawei P40 Pro+ ซึ่งทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G ทั้งหมด สำหรับความโดดเด่นของซีรีส์นี้คือในรุ่น Huawei P40 Pro+ ที่เรื่องกล้องถือว่ากินขาดคู่แข่งทุกแบรนด์ในเวลานี้
ด้วยการนำเสนอ Ultra Vision Leica Penta Camera หรือกล้องหลัง 5 เลนส์ ซึ่งประกอบไปด้วยเลนส์ Ultra Vision 50 ล้านพิกเซล มาใช้เป็นเลนส์หลักในการรับภาพ ตามด้วยเลนส์ซูมแบบ Periscope ที่ทำงานคู่กับเลนส์ Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ทำให้รองรับการซูม 100xเท่า
ในส่วนของเลนส์มุมกว้างมีการนำ Ultra Wide Cine Camera ความละเอียด 40 ล้านพิกเซลมาใช้งาน และเป็นเลนส์ที่ใช้ถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 4K อีกด้วย ปิดท้ายด้วยเลนส์ที่จะวัดระยะชัดลึก 3D Depth Sensing ทำให้สามารถสร้างโบเก้ให้ภาพถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้เนียนขึ้น
นอกจากเรื่องกล้องที่โดดเด่นที่สุดแล้ว P40 Pro+ ยังมากับขุมพลังอย่าง Kirin 990 5G ที่ใช้ AI มาช่วยในการประมวลผล และจัดการพลังงาน ทำให้แบตเตอรี่ที่ให้มา 4,200 mAh นั้นใช้งานได้อย่างยาวนาน และยังมีการใส่ระบบชาร์จเร็ว 40W มาให้ทำให้ชาร์จแบตได้เต็มภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง
ข้อจำกัดของ Huawei P40 ซีรีส์ คือเรื่องการที่ไม่ได้มีการติดตั้ง Google Mobile Service มาให้ (สามารถติดตั้งเพิ่มได้) ทำให้ไม่เหมาะกับลูกค้าทั่วไปที่ใช้งานบริการต่างๆ ของกูเกิล ซึ่งถ้ามีความรู้ หรือหาทางติดตั้งเพิ่มเติมได้ก็ไม่ถือเป็นปัญหา กับอีกจุดคือหน้าจอที่ให้ Refresh Rate (Refresh Rate คือ ค่าที่บอกว่า จอสามารถแสดงภาพนิ่งได้กี่ภาพ (เฟรม) ใน 1 วินาที หรือรองรับการแสดงผล Frame Rate (fps) สูงสุดเท่าไร โดยจอภาพที่เป็น 60 Hz จะรองรับการแสดงผลที่ 60 fps ส่วนจอภาพ 120 Hz ก็จะรองรับ 120 fps เมื่อค่า Hz หรือ fps สูง ภาพจะเคลื่อนไหวได้ไหลลื่นมากขึ้น) มาสูงสุดที่ 90 Hz แต่ก็ถือว่า Huawei P40 ซีรีส์ ยังเป็นสมาร์ทโฟนที่คุ้มค่ามากในเวลานี้
สำหรับราคาของ Huawei P40 ปัจจุบันเริ่มต้นที่ 22,990 บาท ตามด้วย P40 Pro 31,990 บาท และรุ่นท็อปสุดอย่าง P40 Pro+ จะอยู่ที่ 40,990 บาท แน่นอนว่าในช่วงปลายปีนี้ Huawei ก็จะมีสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง Mate ซีรีส์ เปิดตัวและเตรียมนำเข้ามาทำตลาดแน่นอน
*** 2 คู่หูรุ่นท็อปจาก Samsung
ถัดจาก Huawei ที่ถือเป็นแบรนด์แรกที่นำสมาร์ทโฟน 5G เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ก็คือ Samsung ซึ่งนำเสนอ Galaxy S20 Ultra ไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตามด้วย Galaxy Note20 ซีรีส์ในเวลานี้
จุดเด่นหลักของ Galaxy S20 Ultra 5G ที่เป็นเรือธงรุ่นแรกของ Samsung ที่รองรับการใช้งาน 5G ในไทยคือ การเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องทุกประเภทการใช้งานตั้งแต่การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ที่นำเลนส์ 108 ล้านพิกเซลมาใช้ ซูมได้ 100 เท่า และรองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 8K
ในขณะที่จุดเด่นด้านอื่นๆ อย่างหน้าจอแสดงผลที่ให้ Refresh Rate 120 Hz ฟีเจอร์การทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์อย่าง Samsung DeX ให้แบตเตอรี่มาขนาด 5,000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 45W ทำให้ชาร์จแบตเต็มภายในไม่ถึง 1 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน
โดยเมื่อมองถึงการใช้งานโดยรวมกลายเป็นว่า S20 Ultra 5G ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องรุ่นหนึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ถ้าไม่นับในแง่ที่ช่วงแรกเฟิร์มแวร์กล้องถ่ายภาพยังไม่ค่อยนิ่งทำให้คุณภาพของรูปที่ถ่ายไม่คมชัดเท่าที่ควร และเรื่องการรองรับ 5G ที่ล่าช้ามาถึงช่วงกลางปี กับอีกประเด็นคือเรื่องของที่ประเทศไทยนำเครื่องรุ่นที่ใช้หน่วยประมวลผล Exynos 990 มาใช้งาน ซึ่งผู้ใช้หลายรายเจออาการแบตเตอรี่ไหล เมื่อปรับโหมดใช้งานหน้าจอเป็น 120 Hz กับปัญหาเรื่องความร้อนระหว่างที่ใช้งานหนักๆ แน่นอนว่าทาง Samsung มีการอัปเดตเฟิร์มแวร์มาแก้ปัญหาเบื้องต้นไปแล้ว
ต่อเนื่องจาก S20 Ultra 5G คือการมาของแฟลกชิปในช่วงปลายปีของ Samsung กับ Note20 ซีรีส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในซีรีส์สมาร์ทโฟนที่ทำตลาดได้ประสบความสำเร็จในประเทศไทย เพราะมีฐานลูกค้าที่ต้องการใช้งานสมาร์ทโฟนคู่กับปากกา S-Pen ที่ชัดเจน และพร้อมที่จะเปลี่ยนรุ่นใหม่เพื่อให้ได้ฟีเจอร์การใช้งานที่สร้างโปรดักทิวิตีมากยิ่งขึ้น
ความสามารถของ Note20 Ultra 5G นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการนำความสมบูรณ์ของ S20 Ultra มาพัฒนาให้ครบถ้วนยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วยฟีเจอร์การใช้งานคู่กับปากกา S-Pen ที่เพิ่มคำสั่งเกี่ยวกับการจดบันทึก ทั้งการจัดเรียงข้อความบนหน้ากระดาษอัตโนมัติ จดโน้ตพร้อมบันทึกเสียง และการใช้ปากกาวาดไปในอากาศเพื่อสั่งงานเพิ่มเติม
ในส่วนของกล้อง Note20 Ultra นั้นใช้เลนส์ชุดเดียวกับ S20 Ultra แต่มีการนำไปปรับปรุงเฟิร์มแวร์ให้สมบูรณ์มากขึ้น ทำให้ระยะซูมลดลงเหลือ 50 เท่า ซึ่งคุณภาพที่ได้นั้นถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน เมื่อเทียบกับ 100 เท่า ที่แทบไม่สามารถนำมาใช้งานได้
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาฟีเจอร์อย่าง Wireless DeX ขึ้นมา ที่จะแปลงโทรทัศน์ที่รองรับการแคสต์หน้าจอ ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ทำงานได้ จากเดิมที่ต้องใช้สายเชื่อมต่อกับหน้าจอ หรือคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าโหมด DeX ในการใช้งาน
ทั้งนี้ ราคาปัจจุบันของ Samsung Galaxy S20 Ultra อยู่ที่ 39,990 บาท ส่วน Note20 รุ่นที่รองรับ 5G เริ่มต้นที่ 33,900 บาท และ Note20 Ultra 5G เริ่มต้นที่ 42,900 บาท ซึ่งถ้าให้แนะนำในเวลานี้ ควรเลือกรุ่น Note20 Ultra 5G เพื่อใช้งานในระยะยาวไปเลย
โดยความแตกต่างระหว่าง Note20 และ Note20 Ultra จะมีในเรื่องของขนาดหน้าจอ ความละเอียดหน้าจอที่น้อยกว่า และกล้องหลังที่ปรับสเปกลดลงเหลือความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล ไม่มีเลเซอร์ช่วยโฟกัส แบตเตอรี่ลดลง และการตอบสนองของ S-Pen ที่มีความหน่วงมากกว่า
*** OPPO มากับซีพียูรุ่นท็อป และกล้องเทพ
การบุกตลาด 5G ของ OPPO นั้นยังทำได้น่าสนใจ แม้ว่าจะเป็นการลุยเข้ามาในตลาดพรีเมียมสมาร์ทโฟนด้วยราคาเปิดตัวของ OPPO Find X2 Pro 5G ที่ 40,990 บาท แต่ด้วยสเปกเครื่อง และความสามารถที่ได้นั้น ไม่แพ้กับคู่แข่งรายอื่นๆ แน่นอน
จุดเด่นหลักของ OPPO Find X2 Pro 5G คือการใส่สเปกมาให้สุดทุกอย่างไล่ตั้งแต่หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2K รองรับ Refresh Rate 120 Hz ทำให้การแสดงผลหน้าจอลื่นไหล เหมาะกับการเล่นเกมไปในตัว ขณะเดียวกัน OPPO ยังเลือกนำซีพียูรุ่นท็อปในตลาดสมาร์ทโฟนอย่าง Qualcomm Snapdragon 865 ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนทั่วโลกเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วย เช่นเดียวกับสเปก RAM 12 GB ROM 512 GB ทำให้โดยรวมแล้วใส่มาสมกับเป็นรุ่นท็อปของค่ายอย่างแท้จริง
ในส่วนของกล้อง OPPO ถือว่ามีความโดดเด่นในเรื่องของการถ่ายรูปสวย โดยเฉพาะการถ่ายเซลฟี่ที่ผู้หญิงชื่นชอบ ในรุ่น Find X2 Pro 5G ยังเลือกใช้กล้องแบบ 3 เลนส์ ที่มีทั้งกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล ตามด้วยเลนส์ Telephoto 13 ล้านพิกเซล และเลนส์มุมกว้าง 48 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าให้มา 32 ล้านพิกเซล
ตัวเครื่องมากับแบตเตอรี่ขนาด 4,260 mAh รองรับการชาร์จเร็วแบบ SuperVOOC ที่ 65W ทำให้ชาร์จเต็มได้ในเวลาเพียง 38 นาที ทำให้รวมๆ แล้ว OPPO Find X2 Pro 5G กลายเป็นอีกหนึ่งรุ่นท็อปที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการเซลฟี่ และคุ้นชินกับ Color OS ที่นำมาครอบบนแอนดรอยด์ของ OPPO
*** realme เรือธงราคาคุ้มค่า
ในบรรดาสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปทั้ง 5 รุ่น ต้องยอมรับว่า realme X50 Pro 5G ทำราคาออกมาได้น่าสนใจมากที่สุด ด้วยราคาที่เปิดตัวมา 28,990 บาท แต่ยังมากับสเปกระดับท็อปด้วยซีพียูรุ่นท็อป Snapdragon 865 เช่นเดียวกับ OPPO มีกล้องหลัก 4 เลนส์ ความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล
หน้าจอแสดงผลขนาด 6.44 นิ้ว รองรับ Refresh Rate 90 Hz แบตเตอรี่มาพร้อมระบบชาร์จเร็ว SuperDart Charge 65W ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 4,200 mAh เต็มภายใน 35 นาที RAM 12 GB ROM 512 GB ทำให้รองรับทั้งการใช้งานทั่วไป และเล่นเกมได้อย่างเต็มที่
แต่รุ่นนี้ realme X50 Pro 5G ก็จะไม่ได้มีฟีเจอร์ที่พิเศษเหมือนอย่างใน Huawei และ Samsung ที่สามารถแปลงสมาร์ทโฟนให้ใช้งานแทนคอมพิวเตอร์ ระบบชาร์จไร้สาย หรือแม้แต่กันน้ำ กันฝุ่นที่สมาร์ทโฟนระดับเรือธงส่วนใหญ่มีมาให้ใช้งาน เรียกได้ว่าก็มีการตัดบางส่วนออกไปตามราคา
*** ยุคเริ่มต้นของดีไวซ์ 5G เท่านั้น
เมื่อเห็นถึงความสามารถ และราคาของสมาร์ทโฟน 5G แล้ว ปัจจัยสำคัญที่เห็นได้ชัดเจนคือเรื่องของระดับราคาที่รุ่นท็อปขึ้นไปแตะในช่วงราคา 4 หมื่นบาท ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของสมาร์ทโฟนไปแล้ว ทำให้ในเวลานี้ กลุ่มผู้ที่เลือกซื้อสมาร์ทโฟน 5G มาใช้งาน จะเป็นกลุ่มที่ต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นหลัก ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป ที่จะเข้าถึงสมาร์ทโฟน 5G มากขึ้นเมื่อระดับราคาปรับลงมาให้สามารถเข้าถึงได้อย่างไรก็ตาม ในมุมของคอนซูเมอร์ รูปแบบการเข้าถึง 5G เชิงพาณิชย์ไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะการใช้งานบนสมาร์ทโฟน เพราะปัจจุบันเริ่มมีอุปกรณ์เสริมที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย อย่างไวร์เลสเราเตอร์ที่รับสัญญาณ 5G และนำมากระจายเป็น WiFi ให้ใช้งานกัน ที่เริ่มต้นด้วย Huawei 5G CPE และจะเริ่มมีแบรนด์อื่นนำเข้ามาให้บริการต่อไปในอนาคต