หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ทุกวิกฤตมีโอกาส” ถ้ามองจากวิถีของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมกล้าพูดเลยว่าคำกล่าวนั้นได้เข้ามาเกี่ยวพันกับเทเลนอร์มากกว่าที่เคยเป็น
ด้วยดิจิทัลโซลูชันต่างๆ ความไว้เนื้อเชื่อใจกับอีกฝ่าย และความมีสปีริตในการทำงานอย่างเยี่ยมยอด ทำให้พวกเราส่วนใหญ่สามารถจัดการและปรับเปลี่ยนสู่วิถีใหม่ด้วยการทำงานจากที่บ้าน ผมรู้สึกภูมิใจที่จะบอกว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พวกเรามีการพัฒนาขึ้นจริงๆ พวกเราสามารถปรับให้เข้าสู่ “การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลแบบฉับพลันครั้งยิ่งใหญ่” (Quantum leaps in digitalization) และพวกเราสามารถปรับตัวเข้ากับโมเดลการทำงานในวิถีใหม่นี้ได้ จากผลการสำรวจความพึงพอใจของพนักงานต่อการทำงานที่บ้านของชาวเทเลนอร์ต่างบอกว่ารู้สึกมีไฟในการทำงานและค้นพบสภาวะการทำงานที่ทำให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น
จากผลการสำรวจของเทเลนอร์ที่ครอบคลุม 9 ตลาดทั่วโลกได้นำไปสู่อีกขั้นของการทำงานแบบใหม่ เราพบข้อสังเกตสำคัญที่แสดงให้เห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานร่วมกันเพิ่มขึ้นนั่นก็คือ “ความยืดหยุ่น” พวกเราต้องการก้าวสู่โลกแห่งอนาคตที่นำมาซึ่งประสบการณ์ใหม่ที่เยี่ยมยอดจากการทำงานที่มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น
วัฒนธรรมองค์กร คือจุดแข็งหนึ่งของเทเลนอร์ที่เราได้สร้างขึ้นในทั้ง 9 ตลาดประเทศทั่วโลก มันเป็นวัฒนธรรมที่เราร่วมกันทดลองและสร้างขึ้นด้วยกัน ด้วยสัญญาและความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งได้นำสู่ผลลัพธ์แห่งการทำงานที่เป็นเลิศ และนี่คือวัฒนธรรมของเทเลนอร์ แต่เราค้นพบวิธีที่จะนำมาใช้ในแต่ละตลาด
ต่อจากนี้ พวกเรากำลังพัฒนาและปรับใช้วัฒนธรรมองค์กรและวิถีการทำงานใหม่ต่อไป โดยแต่ละตลาดจะขับเคลื่อนและพัฒนาให้สอดคล้องกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและบริบทในแต่ละตลาด นอกจากนี้ พวกเราพนักงานจำเป็นต้องพูดคุยกันกับหัวหน้างานของแต่ละคน เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
DNA สมาชิกล่าสุดของครอบครัวเทเลนอร์ที่ให้บริการในประเทศฟินแลนด์มีความก้าวหน้าทางด้านวิถีการทำงานแบบใหม่นี้มาหลายปีแล้ว ทำให้เกิดทั้งประสบการณ์ที่ดีต่อพนักงานเองและนำมาซึ่งผลลัพธ์ทางการเงินที่ดีต่อบริษัทอีกด้วย ที่ DNA พนักงานใช้เวลาทำงานที่บ้านโดยเฉลี่ยราว 35%
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า พวกเรานั้นเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและมีการสื่อสารเป็นพื้นฐานสำคัญ และผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความยืดหยุ่นนี้จะทำให้คุณมีแรงผลักดันต่อการทำงานและเส้นทางสำคัญที่อยู่เบื้องหน้าเรา
ความยืดหยุ่นจะมีนัยสำคัญต่อการทำงานในอนาคต 4 แนวทางด้วยกันเป็นอย่างน้อย ได้แก่
1.พร้อมทุกเมื่อไม่ว่าตัวจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
ความยืดหยุ่นนั้นอาจต้องขึ้นกับบริบทที่แตกต่างในแต่ละประเทศ อย่างพนักงานของ DNA ใข้วิธีการทำงานแบบราว 2-3 วันต่อสัปดาห์ในการทำงานที่บ้าน ขณะที่ BU อื่นอาจหารูปแบบและวิธีการที่แตกต่างออกไป แต่ทั้งหมดทั้งมวล คือความพยายามในการสร้างสมดุล ยึดพนักงานเป็นศูนย์กลางและสร้างความผลลัพธ์การทำงานที่เป็นเลิศ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ขอเพียงแค่มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมประชุมหรือระดมสมองได้ การทำงานจากที่บ้านหรือการทำงานระยะไกลยังคงหมายถึงว่าพวกเราจะต้องกระตือรือร้นในการทำงานหรือร่วมกิจกรรมกับทีมอย่างสม่ำเสมอ
2.ทลายกำแพงพื้นที่ทำงานและห้องประชุมด้วยดิจิทัล
พวกเราต้องมาฉุกคิดสักนิดว่าพวกเราจะออกแบบพื้นที่การทำงานของเราอย่างไร ทำยังไงห้องประชุมที่มากขึ้นหรือพื้นที่สังสรรค์ที่ขึ้น พนักงานจะมาที่ออฟฟิศเพื่อการประชุม ระดมสมอง และสร้างสังคมแห่งการทำงาน แต่ความเป็นเพื่อนร่วมงานในยุคแห่งอนาคตไม่จำเป็นต้องนั่งติดกันเหมือนเมื่อก่อน เราจำเป็นต้องลองใช้เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ เพื่อทำให้การประชุมหรือเวิร์คช็อปต่างๆ ยังมีประสิทธิภาพอยู่
3..ความไว้วางใจและการบริหารโดยยึดผลลัพธ์เป็นสำคัญ
เราจะยังคงยึดวัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งเน้นผลลัพธ์เป็นสำคัญ โดยดูจากผลสัมฤทธิ์ที่ได้และการบรรลุเป้าหมาย มันจะมีลำดับขั้นของการทำงานที่ลดลง การทำงานจะราบรื่นมากขึ้นแทนที่การทำงานแบบไซโล
ทั้งนี้ วัฒนธรรมการทำงานแบบยืดหยุ่นจะเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องอาศัยการสื่อสารที่บ่อยขึ้น ตลอดจนการมีปฏิสัมพันธ์และความร่วมไม้ร่วมมือระหว่างหัวหน้างานและลูกน้องที่มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการกำหนดเป้าหมายและความคาดหวังที่ชัดเจน ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น จำเป็นต้องอาศัยความเป็นผู้นำของหัวหน้างานในการวางแนวทางและกำหนดเป้าหมาย การกระตุ้นเตือนและการสร้างพลังให้กับทีม
ขณะเดียวกัน ก็จำเป็นต้องมีการตามงานที่เป็นระบบ เราจะรวมวิถีการทำงานแบบใหม่เข้ากับแผนงานของแต่ละ BU พร้อมกับแผนการติดตามงานอย่างต่อเนื่อง โดยสรุป เราจะมีแนวทางและเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น เสริมสร้างวิถีการทำงานแบบใหม่ และจะมีการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ที่มากขึ้นทั่วทั้งเทเลนอร์
4.การเดินทางจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ด้วยการประชุมออนไลน์ที่มากขึ้น ทำให้ความจำเป็นในการประชุมแบบเดิมที่ต้องเดินไปทางไปหากันมีความจำเป็นน้อยลง ซึ่งถือเป็นข้อดีในการสร้างสมดุลให้ชีวิตการทำงาน ทั้งยังช่วยโลกในการลดการเพิ่มปริมาณไอเสียจากการเดินทางอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การสร้างสังคมและพบปะเจอหน้ากันยังคงความสำคัญ ในอนาคต เราจะยังคงเดินทางไปทักทายกันในประเทศ ในตลาด หรือในโปรเจ็คต่างๆ แต่จะน้อยลงกว่าที่เคยเป็นมา
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพื่อให้
- เราทำงานได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
- เราเชื่อว่าความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้
- เราปรับตัวเพื่อวิถีการทำงานแห่งอนาคต ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ความรับผิดชอบ การบริหารงานที่ยึดผลลัพธ์เป็นสำคัญ โครงสร้างแบบไซโลส์ที่น้อยลง และการสื่อสารระหว่างกันที่ดีขึ้น
- วิถีการทำงานแบบใหม่นี้พัฒนามาจากความสำเร็จของ DNA ที่ใช้ริเริ่มรูปแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2012 และค่อยๆ ปรับใช้ทั้งบริษัทเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
- เราะจะใช้เวลาน้อยลงในการเดินทาง
- เราจะผสานความไว้วางใจและความรับผิดชอบเข้าด้วยกัน สร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งในการเริ่มต้นเส้นทางใหม่ของ เราจะเรียนรู้ พัฒนาและปรับปรุงวิถีการทำงานใหม่นี้ไปด้วยกัน ด้วยความหวังในการค้นหาวิธีที่ดีที่สุด เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการทำงาน และที่สำคัญ เราต้องไม่ลืมว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็เพื่อตอยโจทย์เป้าหมายของเรา นั่นคือ การเชื่อมต่อลูกค้ากับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา Connect you to what matters most”