xs
xsm
sm
md
lg

กสทช.ต่อยอด Mobile ID แทนบัตรประชาชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สำนักงาน กสทช. สานต่อเอไอเอส ธนาคารกรุงเทพ และจับมือเพิ่มเติม กรมสรรพากร กสท โทรคมนาคม และไปรษณีย์ไทย ต่อยอดพัฒนาระบบ Mobile ID หรือบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์มือถือเพื่อให้บริการประชาชน

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) ร่วมกับกรมสรรพากร บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด เอดับบลิวเอ็น บริษัทในเครือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เอไอเอส บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ( ปณท ) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) เรื่อง การพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยรูปแบบบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือที่เรียกในชื่อ Mobile ID หรือ “แทนบัตร” ณ สำนักงาน กสทช.

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกสทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงาน กสทช. ได้พัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยรูปแบบบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์มือถือ “แทนบัตร” หรือ Mobile ID ร่วมกับ เอดับบลิวเอ็น และ ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จและมีการทดสอบทดลองขั้นต้นเรียบร้อยแล้ว ต่อมาสำนักงาน กสทช. ได้จัดทำความร่วมมือเพิ่มเติมกับกรมการปกครอง กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานประกันสังคม เพื่อนำระบบ “แทนบัตร” หรือ Mobile ID ไปพัฒนาต่อและประยุกต์ใช้ภายใต้ภารกิจต่าง ๆ ของแต่ละหน่วยงาน

ล่าสุดสำนักงาน กสทช. พร้อมแล้วที่จะขยายการทำงานร่วมกันกับ เอดับบลิวเอ็น และธนาคารกรุงเทพ ทำการทดสอบทดลองอย่างต่อเนื่องในระยะ Sandbox เพื่อเตรียมขยายการทดสอบทดลองให้กับประชาชน อีกทั้งยังขยายความร่วมมือเพิ่มเติมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่นๆ โดยคาดว่าจะสามารถทยอยเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการ “แทนบัตร” หรือ “Mobile ID” กับบริการภาครัฐ และเอกชนต่าง ๆ ภายในไตรมาส 2 ของปี 2563 ได้แก่ กรมสรรพากร กสท โทรคมนาคม และปณท นอกจากนั้น สำนักงาน กสทช. จะร่วมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA เรื่องการพัฒนามาตรฐานการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยระบบ Digital ID ที่ควรมีการเชื่อมโยงกันระหว่างอุตสาหกรรมการธนาคารและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต่อไป

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า สำหรับการเข้าร่วมพัฒนาโครงการ Mobile ID ระยะทดสอบ ในครั้งนี้ ทางกรมสรรพากรจะนำระบบมาใช้สำหรับการพัฒนาการให้บริการประชาชนในด้านต่าง ๆ เช่น การยื่นแบบชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ซึ่งต่อไปในอนาคตกรมสรรพากรจะต่อยอดพัฒนานำระบบ Mobile ID ไปใช้ในการบริการอื่น ๆ ต่อไป เช่น ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ และการพิมพ์ใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น


พ.อ.สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนา Digital ID Platform ของประเทศไทยโดย Mobile ID ถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมควรร่วมกันพัฒนาเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการให้บริการกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ การร่วมโครงการนี้ บริษัทจะสามารถต่อยอดพัฒนาให้ลูกค้า สามารถใช้บริการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ด้วย การเข้าร่วมโครงการ ครั้งนี้จะสามารถนำไปพัฒนาการให้บริการของบริษัทในช่องทางออนไลน์ได้มากขึ้นโดยเฉพาะการบริการที่จำเป็นกับพิสูจน์และยืนยันตัวบุคคลของผู้ใช้บริการ เป็นการซื้อ SIM Card การย้ายค่ายเบอร์เดิม โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ศูนย์บริการ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มจุดให้บริการได้ทั่วประเทศโดยใช้ช่องทางออนไลน์


นายวีรวัฒน์ เกียรติพงษ์ถาวร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจสัมพันธ์และองค์กร เอไอเอส กล่าวว่า บริษัทมีความมุ่งมั่นในการขยายบทบาทสู่การเป็น Digital Platform ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดให้ทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องเชื่อมต่อผ่าน Digital Platform และทำงานร่วมกันในลักษณะของ Ecosystem เพื่อก่อให้เกิดพลังในการขยายขีดความสามารถสร้างสรรค์ Innovation หรือบริการ Digital ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับโครงการ Mobile ID ระยะทดสอบ ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ สำนักงาน กสทช. ที่จะร่วมกันพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในการให้บริการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์กับลูกค้าของเอไอเอส โดยจะทำการทดสอบทดลองใน Sandbox กับธนาคารกรุงเทพ รวมทั้งทางเอไอเอสมีความยินดีที่จะพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วย Mobile ID ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประชาชน ให้มีความสะดวก ปลอดภัย และเป็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุนให้ใช้ดิจิทัลไอดีในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของประเทศอีกด้วย

นายกึกก้อง รักเผ่าพันธุ์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารกรุงเทพมีความยินดีที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการริเริ่มพัฒนาระบบ Mobile ID ร่วมกับสำนักงาน กสทช. และภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยการกำกับดูแลข้อมูลและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนับเป็นบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่ธนาคารในฐานะสถาบันการเงินได้ให้ความสำคัญยิ่งในลำดับต้น ๆ ไม่แพ้ความสะดวกสบาย โดยเฉพาะการพิสูจน์และยืนยันตัวบุคคลของลูกค้าได้อย่างถูกต้องก่อนทำธุรกรรม ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัย สร้างความมั่นใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า ยังตอกย้ำความน่าเชื่อถือให้กับสถาบันการเงิน


นายจุลพงษ์ ลิมปสุธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบริการดิจิทัล ปณท กล่าวว่า บริษัท กำลังเร่งพัฒนาการให้บริการรูปแบบใหม่ ๆ และนำนวัตกรรมใหม่มาให้บริการประชาชน ประกอบกับการนำระบบ Mobile ID มาใช้ โดยเฉพาะการใช้จุดเด่นในเรื่องการพิสูจน์และยืนยันตนของลูกค้า และการแสดงข้อมูลการเป็นเจ้าของเลขหมายมือถือที่ถูกต้อง จะสามารถนำมายกระดับการให้บริการกับประชาชนได้ดีขึ้น บริษัทฯ มีจุดให้บริการ 1,500 สาขาทั่วประเทศไทย ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสนับสนุนการทดสอบทดลองโครงการ Mobile ID ได้อย่างดี และบริษัทฯ พร้อมที่จะทำความร่วมมือทางธุรกิจกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เข้าร่วมโครงการนี้เพื่อการให้บริการกับประชาชน


กำลังโหลดความคิดเห็น