xs
xsm
sm
md
lg

iOS 13 เปิดให้โหลดใช้งานแล้ว มีอะไรใหม่บ้าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


19 กันยายน (00.00น. ของวันที่ 20 ก.ย. ตามเวลาประเทศไทย) จะเป็นวันที่ แอปเปิล (Apple) จะเปิดให้ผู้ใช้งาน iPhone ดาวน์โหลด iOS 13 มาใช้งานกัน ก่อนหน้านี้ Cyberbiz เคยแนะนำจุดที่จะเปลี่ยนแปลงไปใน iOS 13 ไปแล้วเมื่อตอนช่วงงานประชุมนักพัฒนาของแอปเปิลกลางปีที่ผ่านมา (WWDC2019) คราวนี้เลยมาสรุปฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะได้ใช้งานกัน

Dark Mode โทนสีมืดที่สมบูรณ์แบบ

จุดเปลี่ยนแปลงแรกเลย หลังจากที่แอปเปิล ปล่อยให้ผู้ใช้งาน macOS ได้ใช้ Dark Mode บน macOS Mojave กันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว มาในปีนี้ผู้ใช้งาน iOS 13 จะได้รับฟีเจอร์ดังกล่าวเช่นเดียกวัน ทำให้สามารถเลือกเปลี่ยนธีมใช้งานระหว่าง Light Mode และ Dark Mode ได้ทันที

สิ่งที่แอปเปิล ทำได้ค่อนข้างดีบน Dark Mode คือมีการคิดอย่างละเอียดในทุกๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเวลาสลับระหว่าง Light Mode และ Dark Mode ที่เลือกได้ว่าจะปรับตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก หรือจะเลือกเปิดใช้งานตามเวลา

จุดประสงค์หลักในการนำเสนอ Dark Mode คือมาช่วยให้การใช้งานในเวลากลางคืนไม่แสบตาจากธีมของเครื่องที่แต่เดิมจะเป็นสีขาวสว่างเป็นหลัก ทำให้เวลาเปิดใช้งานในที่แสงน้อย หรือที่มืดจอจะสว่างเกินไป และอาจส่งผลกระทบต่อดวงตา

ดังนั้น Dark Mode บน iOS 13 จึงถือว่าเป็นการปรับชุดใหญ่ เพราะในทุกๆแอปที่ติดตั้งมาบนเครื่องจะถูกปรับให้แสดงผลในโทนสีมืดทั้งหมดตามไปด้วย ไม่ใช่แค่เฉพาะในหน้าจอหลักเท่านั้น

ปลดล็อก Face ID เร็วขึ้น

สำหรับผู้ที่ใช้งาน iPhone X iPhone XR iPhone XS และ iPhone XS Max จะรู้สึกได้เลยว่าการปลดล็อกด้วยใบหน้าเร็วขึ้น จากเดิมเวลาต้องการใช้งานเครื่องเวลายกเครื่องขึ้นมาบางครั้งปัดหน้าจอแล้วยังสแกนใบหน้าไม่เสร็จ

แต่บน iOS 13 เมื่อยกเครื่องขึ้นมา มองหน้าจอเสร็จ ก็สามารถปัดเพื่อปลดล็อกได้ทันที ทางแอปเปิลให้ข้อมูลในจุดนี้ว่าบน iOS 13 Face ID จะปลดล็อกได้เร็วขึ้น 30% ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะเทียบอยาก แต่เท่าที่ลองใช้พบว่าเร็วขึ้นจริงๆ

นอกจากนี้ ด้วยการออกแบบระบบแบบใหม่ทำให้สามารถลดขนานของแอปพลิเคชันลงได้กว่า 50% ในการดาวน์โหลดใช้งานครั้งแรก และลดขนาดในการอัปเดตแอปลง 60% ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานแอปได้เร็วขึ้น 2 เท่า

เพิ่มความสามารถกล้อง-แต่งภาพ


ภายใน iOS 13 จะเพิ่มการปรับโทนสีในโหมดถ่ายภาพ Portrait ที่เลือกปรับแสงในแต่ละโทนแสงได้ และเพิ่มโทนแสง High-Key Light มาให้ใช้งานเพิ่มเติม เหมือนการปรับแสงในสตูดิโอถ่ายภาพ

ถัดมาในส่วนของการแต่งรูป มีการเพิ่มความสามารถในการในฟิลเตอร์เพิ่มเติม รวมถึงการปรับสี แสง เลือกในเอฟเฟกต์ต่างๆ และที่น่าสนใจคือการปรับแต่งภาพวิดีโอที่สามารถปรับแต่งได้ไม่ต่างจากภาพนิ่ง รวมถึงการหมุน (Rotate) ภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย

Photos ดึง AI มาช่วยจัดการแสดงผล

อีกจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงคืออัลบั้มภาพ หรือ Photos ที่แต่เดิมเมื่อเปิดเข้าไปจะเจอการจัดเรียงมากตามระยะเวลาที่ถ่ายที่ผู้ใช้สามารถซูมเข้า-ออกเพื่อไล่ดูภาพได้ แต่พอเป็นใน iOS 13 จะมีการนำ AI มาช่วยในการจัดเรียงภาพตามช่วงเวลา และสถานที่ต่างๆ

นอกจากนี้ ยังมีการดึงภาพที่น่าสนใจ และระบบคิดว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญของผู้ใช้งานมาแสดงผล โดยความน่าสนใจของ AI ที่แอปเปิลนำมาใช้คือ การประมวลผลทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะนำความสามารถของหน่วยประมวลผลที่อยู่ภายในตัวเครื่องมาใช้ (Apple A12 Bionic) ไม่มีการส่งข้อมูลไปประมวลผลภาพนอกตัวเครื่อง

เพิ่มความสามารถในการจัดการความเป็นส่วนตัว


เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมาประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของผู้ใช้กลายเป็นประเด็นหลักที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลกให้ความสำคัญ ไม่เว้นแม้แต่แอปเปิลที่เลือกเพิ่มการบริหารจัดการข้อมูลให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะให้แอปพลิเคชันใดเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้บ้าง

โดยในครั้งแรกที่เปิดใช้งานแอปพลิเคชัน จะมีการแจ้งเตือนขึ้นมาว่าจะให้แอปเข้าถึงข้อมูลพิกัดสถานที่ได้เฉพาะเวลาที่เปิดใช้งานแอป เปิดให้เข้าถึงได้ตลอดเวลา หรือไม่ให้ข้อมูลพิกัดสถานที่

รวมถึงในเวลาที่แอปมีการเก็บข้อมูลพิกัดต่างๆ เบื้องหลัง iOS 13 จะคอยทำการตรวจสอบ และแจ้งเตือนว่าแอปต่างๆ กำลังเข้าถึงข้อมูลพิกัดสถานที่ของผู้ใช้อยู๋ ถ้าไม่ต้องการก็สามารถลบข้อมูลดังกล่าว หรือปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ด้วย

ทำงานร่วมกันได้สะดวกขึ้น

แนวคิดในการใช้งานแอปพลิเคชันแบบทำงานร่วมกัน (Collaboration) ไม่ว่าจะเป็นแอปอย่างการแจ้งเตือน (Reminders) หรือ สมุดบันทึก (Notes) ผู้ใช้สามารถชวนเพื่อน หรือคนในครอบครัว ให้เข้ามาอยู่ในลิสต์การแจ้งเตือนเดียวกัน หรือเข้าถึงข้อมูลที่บันทึกเพื่อทำงานร่วมกันได้

โดยเฉพาะใน Reminders ที่มีการเชื่อมต่อกับ iMessage ทำให้สามารถส่งข้อมูลสิ่งที่ต้องทำให้เพื่อนในรายชื่อได้ทันที รวมถึงการผสานความสามารถของ Siri เข้ามาช่วยแนะนำให้บันทึกข้อมูล หรือการแจ้งเตือนต่างๆ หลังจากได้รับข้อความ

พัฒนา 3D Touch และ Haptic Touch ให้มีประโยชน์มากขึ้น

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่แอปเปิลเริ่มนำเสนอมาสักพักคือการใช้งาน 3D Touch บน iPhone XS และ iPhone XS Max และ Haptic Touch บน iPhone XR ที่ให้ผู้ใช้แตะบนหน้าจอหนักขึ้น หรือแตะค้างบนหน้าจอเพื่อเรียกเมนูพิเศษขึ้นมา

บน iOS 13 ได้มีการเพิ่มทางลัดในการใช้งานฟีเจอร์นี้เพิ่มขึ้นให้หลากหลายแอป โดยเฉพาะแอปที่ติดตั้งมากับเครื่องทั้งหมด

รุ่นที่รองรับ iOS 13
ทุกแอปรองรับ Dark Mode
ทั้งนี้ iPhone ที่สามารถดาวน์โหลด iOS 13 มาใช้งานได้ จะไล่ตั้งแต่ iPod Touch (7th Gen), iPhone SE, iPhone 6s, iPhone 6s Plus, iPhone 7, iPhone 7 Plus, iPhone 8, iPhone 8 Plus, iPhone X, iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS Max

รวมถึง iPhone รุ่นใหม่ที่เตรียมวางจำหน่ายในไทยอย่าง iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max อย่างไรก็ตามก่อนที่จะทำการอัปเดต iOS 12 มาเป็น iOS 13 สิ่งที่แนะนำให้ต้องทำก่อนเลยคือการสำรองข้อมูล

ไม่ว่าจะเป็นการแบคอัปข้อมูลขึ้น iCloud หรือทำการสำรองข้อมูลร่วมกับ iTunes บนคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลสูญหาย ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงข้อมูลทั้งหมดจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงขณะที่อัปเดตเป็น iOS 13 ก็ตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น