เสียวหมี่ (Xiaomi) ขึ้นทำเนียบติดอันดับที่ 468 ของ Fortune Global 500 ซึ่งเป็นการจัดอันดับบริษัทที่มั่งคั่งที่สุดของโลก นั่งเก้าอี้อันดับที่ 7 ของกลุ่มบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตและการค้าปลีก แถมยังเป็นบริษัทที่มีอายุการก่อตั้งและระยะเวลาในการดำเนินกิจการน้อยที่สุดในบรรดาบริษัททั้งหมดที่อยู่ในการจัดอันดับ Global 500 ประจำปี 2019
นายเหลย จวิน ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และซีอีโอของ เสียวหมี่ กล่าวว่าเสียวหมี่ใช้เวลาเพียง 9 ปี ในการปรากฏตัวบนทำเนียบการจัดอันดับบริษัทที่มั่งคั่งที่สุดของ Fortune Global 500 การเดินทางนี้ทำให้บริษัทขอขอบคุณบรรดา Mi Fans และผู้ใช้งานทั่วโลกที่ให้การสนับสนุนเสียวหมี่อย่างเหนียวแน่นตลอดมา
"เราเป็นบริษัทที่มีอายุการก่อตั้งและระยะเวลาในการดำเนินกิจการน้อยที่สุดที่ได้รับการจัดอันดับในปีนี้ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่เราจะเก็บไว้ย้ำเตือนอยู่เสมอ ในการเดินทางสู่จุดหมายต่อไปเพื่อขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วโลก”
ปรับโครงสร้างเพื่อโต
หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมาเพียง 9 ปี เสียวหมี่ถูกจัดเป็นบริษัทรายใหญ่อันดับที่ 468 ของโลกด้วยรายได้รวม 26,443.50 ล้านดอลลาร์ และกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,049.10 ล้านดอลลาร์ (สถิติปี 2018) ตลอดปีที่ผ่านมา เสียวหมี่ระบุว่าได้พัฒนายุทธศาสตร์และปรับกลยุทธ์หลักทั้งโครงสร้างการบริหารงาน ระบบการศึกษาวิจัยและพัฒนา สายการผลิต การพัฒนาแบรนด์ และอีกมากมาย ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเสียวหมี่ ในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
"แม้ว่าจะต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่ดุเดือดจากคู่แข่งทั้งภายในประเทศ และทั่วโลก การได้รับเกียรติในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นให้เราพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในการก้าวไปข้างหน้า เรายังคงมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและนวัตกรรมขั้นสูง ในราคาที่จริงใจและซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นปณิธานในการดำเนินธุรกิจของเรา เพื่อทำให้ Mi Fans ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของเรา รวมถึงผู้ร่วมลงทุนกับเราได้เพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตให้ดีมากยิ่งขึ้นอีก” นายเหลย จวิน กล่าว
ในฐานะบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตที่ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านสมาร์ทโฟนและสมาร์ทฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์ม Internet of Things (IoT) หลังการก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ปี 2010 เสียวหมี่ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน (Fortune’s China 500) ในปีนี้เป็นครั้งแรก โดยอยู่ในอันดับที่ 53
เพียง 5 ปี รายได้โตจากหมื่นสู่แสน (ล้านหยวน)
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าเสียวหมี่มีอัตราเติบโตของยอดขายสูงมาก น้อยไปในปี 2012 เสียวหมี่ มีรายได้จากการขายทั้งหมดอยู่ที่ 1 หมื่นล้านหยวน จากนั้นก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนล่าสุดแตะระดับ 1 แสนล้านหยวนในปี 2017
จากข้อมูลของ IDC ผลการสำรวจตลาดประจำเดือนมีนาคม 2019 ชี้ว่าเสียวหมี่เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับที่ 4 ของโลก จากมูลค่าการขายสมาร์ทโฟน เมื่อเทียบปีต่อปีเสียวหมี่ยังมีรายได้รวมทั่วโลกเพิ่มขึ้น 32.2% บริษัทฯมีการร่วมลงทุนกับบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ecosystem มากกว่า 200 บริษัท ซึ่งหลายบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาสมาร์ทฮาร์ดแวร์ ซึ่งส่งผลให้เสียวหมี่สามารถสร้างแพลตฟอร์ม IoT สำหรับลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสมาร์ทดีไวซ์มากกว่า 171 ล้านผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2019
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์เสียวหมี่ วางจำหน่ายมากกว่า 80 ประเทศ และภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ข้อมูลของ Canalys ในเดือนมีนาคม 2562 เปิดเผยว่าเสียวหมี่ ติดอันดับ 1 ใน 5 จากกว่า 40 ประเทศในแง่การจัดส่งสินค้า และมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในอินเดียอยู่ที่ 31.4% ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 นอกจากนี้ เสียวหมี่ ยังมีอัตราการเติบในยุโรปตะวันตกสูง โดยมียอดขายสมาร์ทโฟนเป็นอันดับที่ 4 หลังจากได้เข้าทำการตลาดอย่างเป็นทางการเพียง 2 ปีเท่านั้น รวมถึงประสบความสำเร็จในการขยายเข้าไปสู่ตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกา และลาตินอเมริกาอีกด้วย
ข้อมูลเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2019 เผยว่ามีร้านค้าที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายหลักหรือ Mi Home Store ทั้งหมดกว่า 480 ร้านทั่วโลก คิดเป็นอัตราการเติบโต 93.5% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมากกว่า 110 ร้านค้าตั้งอยู่ในยุโรป และ 79 ร้านค้า ตั้งอยู่ในอินเดีย
เสียวหมี่ ยังทุ่มเงินจำนวน 1 หมื่นล้านหยวนในการพัฒนา “All in AIoT” สำหรับ 5 ปีข้างหน้า โดยเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การทำงานร่วมกันของ “Smartphone และ AIoT” เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ AIoT สำหรับใน 5 – 10 ปี ข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังวางแผนในการยกระดับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา และปรับแผนการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศจีน เพื่อปรับใช้ในตลาดต่างประเทศอีกด้วย.