ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยอมรับแล้วว่า บริษัทมีการปิดการทำงานของซอฟต์แวร์แอนติไวรัสบนคอมพิวเตอร์ที่รันระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) บางส่วนชั่วคราว หลังถูกบริษัทคาสเปอสกี (Kaspersky) ยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการสหภาพยุโรปว่า ไมโครซอฟท์กำลังทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
โดย Kaspersky ชี้ว่า ไมโครซอฟท์มีการปิดการทำงานของซอฟต์แวร์แอนติไวรัสของตน และมองว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการดึงผู้ใช้งานให้ใช้ซอฟต์แวร์แอนติไวรัสของไมโครซอฟท์เอง ขณะที่ไมโครซอฟท์ ออกมาชี้แจงว่า ที่ทำไปนั้น เพื่อให้ผู้ใช้งานวินโดวส์ 10 นั้น ปลอดภัยที่สุด
โดยไมโครซอฟท์ เผยว่า การที่บริษัทมีการบันเดิลวินโดวส์ ดีเฟนเดอร์ แอนติไวรัส (Windows Defender Antivirus) สำหรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 ไปด้วยนั้น ก็เพื่อต้องการให้มั่นใจว่า คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะได้รับการปกป้องจากไวรัส และมัลแวร์
พร้อมกันนี้ไมโครซอฟท์ ยังยืนยันว่า บริษัทมีการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ด้านแอนติไวรัสจากภายนอก เพื่อให้สามารถจัดการกับมัลแวร์ตัวใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันมากกว่าวันละ 300,000 ตัว ซึ่งปัจจุบัน 95 เปอร์เซ็นต์ของคอมพิวเตอร์ที่รันระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 นั้น ใช้ซอฟต์แวร์แอนติไวรัสที่รองรับกับอัปเดตของวินโดวส์ 10 แล้ว
ส่วนแอปพลิเคชันที่ไม่รองรับกับวินโดวส์ 10 นั้น ไมโครซอฟท์ ได้แนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตพีซีก่อนแล้วค่อยติดตั้งซอฟต์แวร์แอนติไวรัสเวอร์ชันใหม่ ซึ่งนี่อาจเป็นจุดที่ทำให้ Kaspersky มองว่า ไม่เป็นธรรม โดยไมโครซอฟท์ เผยว่า เป็นเพียงการทำให้ระบบบางส่วนใช้งานไม่ได้ชั่วคราว เพื่อให้ระบบมีการระบุว่า เวอร์ชันไหนของซอฟต์แวร์ จึงจะทำงานร่วมกับวินโดวส์ 10 ได้ดีที่สุดเท่านั้น