อูเบอร์ (Uber) บริษัทแอปพลิเคชันให้บริการรถร่วมเดินทางประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปีการเงิน 2017 ว่า แม้จะทำรายได้รวมเพิ่มขึ้น 18% น่าประทับใจ แต่ก็ยังไม่พอกับรายจ่าย ทำให้บริษัทขาดทุนเบ็ดเสร็จ 708 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท
ไตรมาสที่ผ่านมา Uber ระบุว่า สามารถทำเงินเข้ากระเป๋าได้มากกว่า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขนี้มากกว่าไตรมาสก่อนหน้า (ไตรมาส 4 ปีการเงิน 2016) ที่บริษัทมีรายรับรวม 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยช่วงเวลาดังกล่าว Uber ประกาศขาดทุนมากกว่า 991 ล้านเหรียญสหรัฐ
ผลประกอบการสวยหรูนี้เกิดขึ้นพร้อมกับที่ประธานฝ่ายการเงินของ Uber “เกาทัม กุปตา” (Gautam Gupta) ประกาศโบกมือลา Uber เพื่อไปร่วมทีมกับบริษัทอื่นในซานฟรานซิสโก
ประเด็นน่าสนใจจากข่าวนี้ คือ ผลประกอบการของ Uber ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ตัวเลขขาดทุนของบริษัทน้อยลง เพราะบริษัทสามารถทำเงินได้มากขึ้น สะท้อนความนิยมใช้งาน Uber ที่ยังเป็นเจ้าตลาดบนเวทีโลก
สำหรับ Gupta นั้น เป็นผู้บริหารระดับสูงรายที่ 3 ที่พ้นจากชายคา Uber ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ จอช โมห์ร (Josh Mohrer) ผู้จัดการทั่วไปสำนักงานนิวยอร์ก ประกาศลาออกเพื่อไปร่วมงานกับบริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์การลงทุนชื่อ “Tusk Ventures” อีกราย คือ แอนโธนี เลวานโดสกี (Anthony Lewandowski) หัวหน้าโครงการพัฒนารถขับเคลื่อนตัวเองของ Uber ซึ่งมีรายงานว่า ถูกไล่ออกหลังจากปฏิเสธคำขอของบริษัทที่ต้องการให้เขาเป็นพยาน และแสดงหลักฐานในคดีขโมยความลับที่กูเกิล (Google) ฟ้องร้องในนามเวย์โม (Waymo) ว่า Uber ขโมยข้อมูลไปพัฒนารถขับเคลื่อนตัวเองของตัวเอง