เอ็นทีที ต่อยอดคลาวด์ซิเคียวริตีรับการเติบโตลูกค้าองค์กรที่หันมาใช้บริการคลาวด์มากยิ่งขึ้นมองโอกาสเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 ดิจิต ภายใน 2 ปีข้างหน้า พร้อมเผยไทยมีโอกาสขึ้นเป็นฮับของภูมิภาค ถ้าภาครัฐ และหน่วยงานกำกับดูแลร่วมกันเปิดโอกาสให้ต่างชาติร่วมลงทุนในการให้บริการอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาค
นายมานาบุ คาฮาระ ประธาน บริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดการให้บริการคลาวด์ถือว่ามีแนวโน้มเติบโตที่เห็นได้ชัดเจนแน่นอนในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เพียงแต่ว่า ความเร็วในการใช้งานจะขึ้นอยู่กับแต่ละองค์กรที่กังวลในเรื่องความปลอดภัย ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับความมั่นใจขององค์กรเป็นหลัก
“เชื่อว่าตลาดคลาวด์ในประเทศไทยจะมีโอกาสเติบโตในแง่ของรายได้ไม่ต่ำกว่า 2 ดิจิต ภายใน 2 ปีข้างหน้าส่วนในปีหน้าอาจจะเป็นการเติบโตในส่วนของจำนวนผู้ใช้ที่จะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม พื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ตลาดคลาวด์เติบโตก็คือ การลงทุนทางด้านดาต้าเซ็นเตอร์”
ทั้งนี้ เอ็นทีที มีการลงทุนในการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่องโดยล่าสุด กำลังอยู่ในระหว่างการเริ่มเฟส 2 ของ Bangkok 2 Data Center ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ภายใต้งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 1,000 ตร.ม.
“ในปีหน้าเชื่อว่า จะมีการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ของผู้ให้บริการ เพื่อรอให้ลูกค้ามาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 30% ในขณะที่ความต้องการของตลาดจะเติบโตราว 20% ในแต่ละปีทำให้เห็นว่า หลายบริษัทเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม จากเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายองค์กรไม่กล้าลงทุนในการใช้งานคลาวด์มาจากเรื่องของระบบความปลอดภัยในการรักษาข้อมูล เอ็นทีที ซึ่งมีบริษัทย่อย คือ เอ็นทีที ซิเคียวริตี ก็ได้มีการนำระบบรักษาความปลอดภัยมาช่วยเสริมทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า เมื่อใช้งานบริการคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์ของเอ็นทีที จะได้รับความปลอดภัยตามมาตรฐาน
นายศานิต เกษมสันต์ ณ อยุธยาผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์และบริการ บริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวถึงแนวโน้มการใช้งานคลาวด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ คือ องค์กรจะเริ่มหันมาใช้บริการไฮบริดจ์คลาวด์ผ่านผู้ให้บริการระบบบริหารจัดการคลาวด์มากขึ้น เพื่อให้สามารถนำข้อมูลบางส่วนขึ้นไปเก็บไว้บนพับบลิกคลาวด์ และข้อมูลบางส่วนเก็บไว้ภายในองค์กร โดยบริหารจัดการผ่านบริษัทอย่างเอ็นทีที
“เมื่อแนวโน้มในการใช้งานคลาวด์เพิ่มมากขึ้น เอ็นทีที มีแผนที่จะพัฒนาระบบ Enterprise Cloud ที่ปัจจุบันเป็นเวอร์ชัน 1.0 ให้เป็น 2.0 ภายในปีหน้า โดยจะเพิ่มความสามารถในส่วนของการเป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการคลาวด์ และพัฒนาให้รองรับเทคโนโลยีที่หลากหลายขึ้น เพราะในอุตสาหกรรมไอทีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”
จากการอัปเกรด Enterprise Cloud 2.0 จะทำให้ลูกค้าองค์กรสามารถนำแอปพลิเคชัน หรือบริการที่ใช้งานในองค์กรมาใช้งานบนอินฟราสตรักเจอร์ของเอ็นทีที โดยไม่ต้องไปลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์ของแต่ละองค์กร แต่จะกลายเป็นรูปแบบของการมาเช่าใช้แทน
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ฐานลูกค้าของเอ็นทีที จะมาจากองค์กรธุรกิจญี่ปุ่น ที่มาตั้งบริษัทในไทยราว 70-80% และเชื่อว่าจะยังคงสัดส่วนเช่นเดิมในปีหน้า แม้ว่าจะมีการเพิ่มฐานลูกค้าที่เป็นบริษัทไทยมากขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต สถาบันการเงิน สายการบิน และผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ขณะเดียวกัน นายมานาบุ ยังให้ความเห็นถึงทิศทางในการเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอลของประเทศไทยว่า ไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางดิจิตอลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจากภูมิประเทศที่อยู่ตรงกึ่งกลาง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อไปยังญี่ปุ่น สู่สหรัฐฯ หรือผ่านอินเดีย สู่ยุโรปได้ โดยไม่จำเป็นต้องอ้อมลงไปที่สิงคโปร์
“ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตทราฟิกของไทยยังต้องผ่านไปที่มาเลเซีย และสิงคโปร์ เนื่องจากไทยมีเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อไปยังต่างประเทศเพียง 8 เส้น ในขณะที่สิงคโปร์ มีถึง 15 เส้น ดังนั้น ถ้าทุกภาคส่วนของประเทศไทยร่วมมือกัน มีนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุน ร่วมกับพันธมิตรก็จะช่วยให้ไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางในอนาคต”
Company Relate Link :
NTT