1 ในเทรนด์ไอทีเอเชียจากงานแสดงเทคโนโลยี Computex 2016 ที่ไต้หวัน คือ ตลาดแท็บเล็ตพันธุ์แท้กำลังถูก “แท็บเล็ตลูกผสม” แย่งส่วนแบ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ผลจากผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีพยายามดิ้นหนีตายด้วยการคลอดกองทัพแท็บเล็ต พร้อมคีย์บอร์ดร่วมกับคุณสมบัติสุดเลิศให้ผู้ใช้ทำงานเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กได้ด้วย แถมยังจำหน่ายในราคาบีบคอคู่แข่งจนหน้าเขียวแบบไม่ยั้งมือ
ตลาดแท็บเล็ตเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดในสังเวียนเอเชียเท่านั้น เพราะในงานคอมพิวเท็กซ์ที่หลายคนยกให้เป็นเวทีโชว์ “ของจริง” ที่ผู้บริโภคอาเซียนทุกคนกำลังจะได้เลือกซื้อหาสินค้าเหล่านี้มาใช้งานในไม่กี่เดือน สะท้อนว่า แบรนด์ที่มีอิทธิพลต่อตลาดเอเชียกำลังเดินไปบนถนนสู่ตลาดใหม่อย่าง VR รวมถึงตลาดหุ่นยนต์ดูแลบ้านด้วย
เท่ากับอีกไม่กี่อึดใจชาวเอเชียกำลังจะได้ใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ในราคาสบายกระเป๋า
***ลูกผสมถล่มพันธุ์แท้
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว บริษัทวิจัยการ์ทเนอร์ (Gartner) ประเมินว่า ตลาดอุปกรณ์ไฮบริด (Hybrid Device) หรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอระหว่าง 10-14 นิ้วน้ำหนักเบาที่ถอดหน้าจอแยกจากคีย์บอร์ดเพื่อใช้งานเป็นแท็บเล็ตได้นั้นมียอดขายไม่ต่ำกว่า 21.5 ล้านเครื่องเรียกว่าเพิ่มขึ้น 70% จากปี 2014
ครั้งนั้น การ์ทเนอร์ บอกอีกว่า สัดส่วนตลาด Hybrid Device โลกจะคิดเป็น 12% ของตลาดรวมคอมพ์พกพา โดยคาดว่าจะเพิ่มเป็น 26% ในปี 2019
การประเมินนี้มีโอกาสเป็นจริงมากหากสังเกตจากกองทัพสินค้าใหม่ที่แบรนด์เอเชีย เปิดตัวในงาน Computex 2016 งานนี้ถือเป็นงานที่หลายคนยอมรับว่าแตกต่างจากงานไอทีที่จัดขึ้นในสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป เนื่องจากชิ้นงานที่ถูกนำมาแสดงในนั้นยังเป็นฝันที่ชาวเอเชียต้องรออีกนานนับปีกว่าจะได้สัมผัสใช้งานจริง
ทั้งเอเซอร์ (Acer) อัสซุส (ASUS) และอีกหลายแบรนด์ต่างยกทัพสินค้ากลุ่ม Hybrid Device ละลานตามาโชว์ในงานนี้ ทำให้โลกหันไปนึกถึงคำประเมินว่า สินค้ากลุ่ม Hybrid Device รุ่นน้ำหนักเบาพิเศษจะมีอัตราเติบโตมากกว่า 77% ต่อปี โดยสินค้ากลุ่มนี้เติบโตไม่ยั้งตั้งแต่ปี 2012 ยอดขายพุ่งจาก 12.6 ล้านเครื่องในปี 2014 คาดว่าจะแตะระดับ 58 ล้านเครื่องในปี 2019
อัตราเติบโตมากกว่า 77% ต่อปี เทียบไม่ได้เลยกับตลาดแท็บเล็ตพันธุ์แท้ที่เติบโตเพียง 2% ในปี 2015 (ยอดขายแท็บเล็ตปี 2015 ถูกประเมินไว้ที่ 234.5 ล้านเครื่องโดย IDC)
ASUS นั้นเป็นผู้ค้ารายแรกที่เปิดตัวสินค้ากลุ่มนี้ และเคยเป็นอันดับ 1 ในตลาดอุปกรณ์ hybrid ultramobile ช่วงปี 2014 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 41% ในปีนั้นเลอโนโว (Lenovo) คือ ผู้ค้าอันดับ 2 รองลงมาคือ เอชพี (HP)
การจัดอันดับผู้ค้า Hybrid Device ของการ์ทเนอร์ในปีนั้นไม่รวมผลงานของไมโครซอฟท์อย่างเซอร์เฟส (Microsoft Surface) เนื่องจาก Surface ถูกจัดเป็นสินค้ากลุ่มแท็บเล็ต (tablet ultramobile) แทนเนื่องจากคีย์บอร์ดนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์เสริม แน่นอนว่า ไมโครซอฟท์ได้ชัยชนะในตลาดนี้ ซึ่งหากรวม 2 ตลาดเข้าด้วยกัน ไมโครซอฟท์จะถูกจัดเป็นอันดับ 3 รองจาก ASUS และ Lenovo
ปีนี้ ASUS เปิดตัวสินค้ากลุ่มแท็บเล็ตลูกผสมทู-อิน-วันอย่าง Transformer Pro 3 และ Transformer 3 ออกมาท้าชน Surface โดยตรง โดย Transformer Pro 3 มาพร้อมหน้าจอ 12.6 นิ้ว ความละเอียด 2,880x1,920 พิกเซล บนชิป Intel Core i7 ทำงานบน RAM ขนาด 16GB และ SSD ขนาด 1TB เช่นเดียวกับ ZenBook 3 แต่มีกล้องดิจิตอล 13 ล้านพิกเซล จัดเต็มพอร์ต Thunderbolt 3
แท็บเล็ต Pro 3 สามารถใช้ร่วมกับด็อค หรือแท่นวางที่มีพอร์ต USB-C, USB 3.0, HDMI, VGA, RJ45 LAN รวมถึงช่องอ่านการ์ด 3-in-1 SD card ตัวเครื่องจำหน่ายพร้อมสไตลัส ลำโพง 4 ตัว ทั้งหมดนี้ Pro 3 จำหน่ายที่ราคาเริ่มต้น 1,000 เหรียญ สำหรับรุ่น 256 GB (ราคานี้รวมสไตลัส และปกกันรอยเครื่อง)
จุดต่างระหว่าง Transformer 3 และรุ่น Pro คือ ความสามารถในการเพิ่ม RAM เป็น 8 GB บนพื้นที่เก็บข้อมูล 512GB ราคาเริ่มที่ 799 เหรียญสหรัฐ สำหรับรุ่น 256 GB ถือว่าเป็นราคาน่าสนใจมากสำหรับผู้ใช้หลายคน
อีกแบรนด์เอเชียที่ไม่ติด Top 3 ของตลาดที่หอมหวานอย่างเอเซอร์ (Acer) ย่อมไม่อยากพลาดอีกครั้ง ปีนี้ Acer เปิดตัวโน้ตบุ๊กทู-อิน-วัน 2 รุ่นใหม่ในตระกูล Switch พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 และชิป 4 คอร์ Intel Atom คุณสมบัติหลัก คือ หน้าจอ 10.1 นิ้ว เทคโนโลยี IPS สัมผัสได้หลายจุดพร้อมกันที่สามารถแยกออกจากแป้นพิมพ์ของเครื่องเพื่อใช้งานเป็นแท็บเล็ตได้
Switch V 10 มีพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกระหว่าง 32 GB และ 64 GB ใช้พอร์ต USB Type-C ในการชาร์จ และส่งออกข้อมูล หน้าจอกันรอยขีดข่วน Corning Gorilla Glass รองรับ MIMO 802.11ac Wi-Fi รวมถึงเครื่องสแกนลายนิ้วมือ ซึ่งทำให้สามารถใช้งาน Windows Hello ได้อย่างปลอดภัย
ทั้งหมดนี้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนโน้ตบุ๊กนี้ให้เป็นรูปร่างใดก็ได้ตามการใช้งาน ผู้ใช้สามารถวาด พิมพ์ หรือจดบันทึกบนหน้าจอ หรือทำไฮไลต์เว็บเพจผ่านแอปพลิเคชันอย่าง Microsoft Edge ราคาเริ่มที่ 249 เหรียญสหรัฐเท่านั้น
สำหรับ Switch One 10 เด่นที่ราคาเริ่มต้นเพียง 199 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,000 บาท แม้จะมีคุณสมบัติน้อยกว่าแต่ก็ไม่น้อยหน้า V 10 ด้วยตัวเครื่องโลหะสีเทาหน้าจอทัชสกรีน HD สามารถทำงานได้ 4 โหมด มีระบบสแกนลายนิ้วมือ ขณะที่ส่วนติดต่อระหว่างแท็บเล็ต และคีย์บอร์ดเป็นแม่เหล็กแสนสะดวก
Switch One 10 มีกล้อง 2 ตัวหน้าหลัง ทำงานได้ต่อเนื่อง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง กำหนดการจำหน่ายโน้ตบุ๊กพับได้ทั้ง 2 รุ่น คาดว่าจะเริ่มในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ โดย Switch V 10 อาจวางตลาดช้ากว่า Switch One 10 ที่คาดว่าจะเริ่มทำตลาดในเดือนกรกฎาคม
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพแท็บเล็ตลูกผสมที่จะบุกหนักทะลวงไส้แท็บเล็ตพันธุ์แท้ในเอเชียช่วงกลางปีนี้
***ขยายฐานนอกพีซี
อีกแนวทางที่แบรนด์เอเชียแสดงจุดยืนจะสู้เต็มที่คือ อุปกรณ์แสดงภาพเสมือนจริง หรือ VR (virtual reality) ที่จะมีอิทธิพลในตลาดความบันเทิงดิจิตอลในอนาคต และยังมีตลาด “long-term care” หรือบริการเพื่อการดูแลบ้าน และผู้สูงอายุที่จะเป็นตลาดใหม่ให้แบรนด์พีซีมีทางโตในวันที่พีซีซบเซา
ยกตัวอย่างเช่น เจสัน เฉิน (Jason Chen) ซีอีโอ Acer Inc. ยืนยันว่า บริษัทจะไม่หยุดที่การเป็นแบรนด์พีซีแต่จะมุ่งที่อุตสาหกรรม long-term care และ VR โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญากับคอมฟอร์ท คีพเปอร์ส (Comfort Keepers) บริษัทผู้ให้บริการผู้ดูแลบุคคลสูงอายุในบ้าน ขณะเดียวกัน ก็ซื้อหุ้น 48.98% ในเดือนมีนาคมจากบริษัทผู้ผลิตแท็บเล็ตในสหรัฐฯ ชื่อ แกรนด์แพด (grandPad) เป็นเงินมูลค่า 11.04 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งหมดนี้เป็นบันไดที่ Acer เตรียมไว้สำหรับงานบริการโซลูชันสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
ในส่วนตลาด VR แบรนด์ไต้หวันอย่าง Acer ระบุว่า ได้จับมือกับผู้พัฒนาเกมในเมืองสตอกโฮล์มชื่อสตาร์บรีซ สตูดิโอส์ (Starbreeze Studios) และบริษัทในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างไอแม็กซ์ (IMAX Corp) เพื่อให้บริการระบบความบันเทิงแบบอิงสถานที่ หรือ location-based entertainment ในอนาคต
ไม่ใช่แค่ Acer ที่หนีตลาดพีซีธรรมดา แต่ ASUS ในนาม Asustek Computer Inc ก็หันมาโชว์หุ่นยนต์ที่พัฒนาเองในบ้านชื่อเซนโบ (Zenbo) หุ่นยนต์ตัวนี้มีความสูงแค่เข่าสำหรับเจาะตลาดหุ่นยนต์เพื่อการใช้งานในบ้าน คาดว่าจะมีราคาขายเริ่มต้นที่ 599 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 21,399 บาทเท่านั้น
Zenbo ถูกออกแบบมาให้เป็นผู้แจ้งเตือน เช่น เตือนการรับประทานยา และให้ความบันเทิง เช่น ร้องเพลง และเต้นประกอบเพลงได้ นอกจากนั้น ยังเล่านิทาน และเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กๆ ได้ด้วย ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะพบว่า มันเหมาะต่อการเฝ้าบ้านเป็นเพื่อนคุณตาคุณยาย และดูแลเด็กๆ อย่างไรก็ตาม แม้ Zenbo จะไม่ได้ตัวใหญ่พอจะอุ้ม หรือพยุงผู้สูงอายุที่เกิดอุบัติเหตุได้ แต่หากผู้สูงอายุในบ้านเกิดอุบัติเหตุ Zenbo จะช่วยเหลือโดยการถ่ายภาพ และส่งให้แก่ลูกๆ เพื่อให้ลูกมาช่วยพ่อแม่ นั่นจึงทำให้ขนาด และความสูงของ Zenbo ที่สูงแค่หัวเข่าของผู้ใหญ่ทั่วไปไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานแต่อย่างใด
สำหรับตลาด virtual reality แบรนด์อย่างเอชทีซี (HTC) โชว์ผลงานอย่าง HTC Vive ในงานท่ามกลางผู้ผลิตชิปที่การันตีว่าเทคโนโลยี VR จะเป็นกุญแจสำคัญในสินค้าที่มีอิทธิพลสูงอย่างสมาร์ทโฟนแน่นอน พร้อมกับเอเซอร์ที่โชว์คอมพิวเตอร์เทคโนโลยี VR ในชื่อรุ่นพรีเดเตอร์ (Predator) คาดว่าจะเริ่มวางตลาดได้ในกรกฎาคมนี้
เบื้องต้น มีการประเมินว่า ตลาดอุปกรณ์ฉายภาพเสมือนจริง VR ทั่วโลก คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 1.09 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2017 เพิ่มขึ้นจาก 5.1 พันล้านเหรียญในปีนี้
สำหรับงาน Computex 2016 มีกำหนดจัดงานอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน ที่ไทเป ไต้หวัน โดยงานที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 36 นี้คาดว่าจะมีผู้ร่วมชมมากกว่า 135,000 คนทั่วโลก