*** ท้าประลองคนเก่ง ส่งผลงานเข้าประกวดได้ในโครงการ “Young Technopreneur”
กลุ่มบริษัทสามารถ และ สวทช. รุกสร้างนักธุรกิจด้านนวัตกรรมต่อเนื่องกับโครงการ “เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี ปีที่ 5” หรือโครงการ “Young Technopreneur” หลังจากปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จได้สุดยอดผลงาน “อุปกรณ์ช่วยผู้พิการทางสายตา” หรือ Visionear เทคโนโลยีที่มีกล้องเก็บภาพ และแยกแยะสิ่งของ เช่น ธนบัตร สี และแสงไฟ โดยประมวลผลจากภาพเป็นเสียงให้ผู้ใช้งานฟัง มีขนาดเล็ก รองรับการใช้งานได้หลายภาษา ซึ่งสร้างโอกาส และคุณภาพชีวิตให้แก่กลุ่มผู้พิการทางสายตาให้ดีขึ้น
สำหรับปีนี้ โครงการ Young Technopreneur ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างศักยภาพนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทย และส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ ทั้งในประเทศ และในระดับภูมิภาค ให้สอดคล้องต่อการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยกำหนดให้โครงการมีความเข้มข้นในหลายๆ ด้าน เข้มข้นในการเสริมสร้างทักษะ และความรู้ ทั้งความรู้ด้าน Technology และการตลาด ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎี และปฏิบัติ ทั้งการอบรม และการทำ Workshop รวมกว่า 60 ชั่วโมง ครบเครื่องในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ มีโอกาสนำเสนอแนวคิด และผลงานต่อองค์กรธุรกิจ หรือนักลงทุนในงาน “Meet Investors Day” และโอกาสในการขยายผลทางธุรกิจร่วมกับกลุ่มบริษัทสามารถ คุ้มค่าเรื่องสิทธิประโยชน์ ได้แก่ รางวัลสุดยอดเถ้าแก่น้อย มอบ 200,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และอันดับ 2 มอบ 100,000 บาท และ 50,000 บาทตามลำดับ พร้อมรางวัลไปทัศนศึกษางานด้านเทคโนโลยีในต่างประเทศ และยังมีการมอบทุนพัฒนาผลงานสำหรับ 25 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ทุนละ 20,000 บาท เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาผลงานต่อไป รวมมูลค่ารางวัลกว่า 1.2 ล้านบาท
และยิ่งไปกว่านั้น ปีนี้โครงการ Young Technopreneur เน้นย้ำในการสนับสนุนเทคโนโลยีที่ให้ประโยชน์แก่ผู้บริโภค และสังคมไทย จึงได้กำหนดหัวข้อในการประกวดขึ้น คือ Better Future Today หรือส่งมอบสิ่งที่ดีกว่าในวันนี้ มาเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผลงานของผู้เข้าร่วมประกวด โดยประกอบด้วย 4 หัวข้อ คือ 1.เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและเพื่อผู้สูงอายุ 2.เทคโนโลยีเพื่อการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม 3.เทคโนโลยีเพื่อการพาณิชย์และการขนส่ง และ 4.เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ซึ่งหัวข้อเหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสังคม และประเทศอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้สนใจโครงการ Young Technopreneur เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 21 มีนาคม 2559 หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ โทร.0-2583-9992 ต่อ 1510 www.nstda.or.th/bic/ หรือฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โทร.0-2502-6522 www.samartsia.com
***ไปรษณีย์ไทย เปิดบริการ “ดี-แพกเกจ (D-Packet)” ตอบเทรนด์ชอบปิ้งปี 59
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดบริการดี-แพกเกจ (D-Packet) บริการรับ-ส่งสินค้าสำหรับผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซ โดยทำข้อตกลงให้ไปรษณีย์ไทยส่งสินค้า และเก็บเงินปลายทาง หรือส่งสินค้าให้ลูกค้าเพียงอย่างเดียว โดยผู้ประกอบการสามารถเตรียมการฝากส่งล่วงหน้า ที่สำนักงาน หรือที่อยู่ของตนเองผ่านระบบของไปรษณีย์ไทย ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลรายการสินค้าให้สามารถเตรียมการฝากสินค้าส่งล่วงหน้าได้ พร้อมบริการนัดหมายวัน และเวลากับผู้รับปลายทางก่อนการนำจ่ายทุกครั้ง นอกจากนี้ ยังสามารถติดตามตรวจสอบสถานะสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านระบบ Track&Trace ได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เตรียมการฝากส่ง ขนส่ง ส่งมอบสินค้า และสามารถเรียกดูประวัติการจัดส่งสินค้าย้อนหลังได้
บริการดี-แพกเกจ (D-Packet) สามารถส่งสินค้าได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัมต่อกล่อง โดยอัตราค่าบริการดี-แพกเกจ (D-Packet) คิดตามน้ำหนัก และปริมาณงานตามที่ผู้ประกอบการทำข้อตกลงกับไปรษณีย์ไทย บวกกับอัตราค่าบริการเก็บเงิน ณ ที่อยู่ผู้รับ 40 บาทต่อชิ้น ผู้ประกอบการสามารถเลือกชำระค่าบริการได้ตามความสะดวก ทั้งชำระเป็นเงินสด หรือเช็คเงินสด หรือการชำระเป็นเงินเชื่อ (รายเดือน) ตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ สำหรับมาตรฐานการนำส่งของบริการดีแพกเกจ (D-Packet) นั้น ปลายทางกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะใช้เวลาภายใน 1-3 วันทำการ นับถัดจากวันที่ฝากส่ง และปลายทางภูมิภาคอื่นๆ ภายใน 3-5 วันทำการ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ THP Contact Center 1545 หรือเว็บไซต์ www.thailandpost.co.th
*** เอไอเอสเดินหน้าอำนวยความสะดวกลูกค้าที่แลกเครื่องจาก 2G เป็น 3G/4G
ฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขาย เอไอเอส กล่าวถึงความคืบหน้าของการให้ลูกค้า 2G แลกเครื่องใหม่เป็น 3G หรือ 4G ฟรี ว่า เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยได้เต็มประสิทธิภาพในยุคดิจิตอลได้มากยิ่งขึ้น เอไอเอสจึงเชิญชวนให้ลูกค้าที่ยังคงใช้มือถือระบบ 2G มาแลกเครื่องใหม่เป็น 3G และ 4G ได้ฟรี ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้มีลูกค้าที่ใช้มือถือ 2G ที่เดิมมีอยู่ประมาณ 12 ล้านราย ทยอยไปแลกเครื่องเป็น 3G หรือ 4G แล้วทั่วประเทศทุกวันรวมกว่า 1.6 ล้านราย และที่กดจองเครื่องแล้ว โดยอยู่ในระหว่างการนัดหมายเพื่อรับเครื่องอีกราว 1 ล้านราย
ก่อนหน้านี้ เอไอเอส ได้ร่วมมือกับสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ในการเปิดให้ อบต. และเทศบาลทุกแห่งทั่วประเทศเป็นจุดรับเครื่อง เนื่องจากทั้ง 2 หน่วยงานถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าโทร.จองเครื่อง ก่อนส่ง SMS นัดหมายให้มารับเครื่องที่ อบต.หรือเทศบาล ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ใช้มือถือ 2G ที่ใช้งานอยู่โทร.จองเครื่องที่เบอร์ 90099 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการโทร. ขั้นตอนที่ 2 รอรับ SMS ยืนยันเพื่อนัดวัน และสถานที่ในการรับเครื่อง ขั้นตอนที่ 3 เมื่อได้รับ SMS แจ้งวันนัดรับเครื่องแล้ว ลูกค้าสามารถไปรับเครื่องได้อย่างสะดวกสบายที่ อบต. หรือเทศบาลใกล้บ้านทั่วประเทศ เพียงนำมือถือ 2G ที่ใช้งานอยู่ และบัตรประชาชนไปแลกเครื่องใหม่ที่จองไว้
โดยขณะนี้บรรยากาศของการแลกเครื่อง ณ อบต. และเทศบาลทั่วประเทศกำลังเดินหน้าอย่างเต็มที่ ยกตัวอย่างที่เทศบาลเมืองท่าผา อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ที่เป็นไปอย่างคึกคัก มีลูกค้ามาต่อคิวแลกเครื่องตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งลูกค้ามีความพึงพอใจที่เอไอเอสอำนวยความสะดวก โดยนำทีมงานจำนวนกว่า 1,000 คน เข้าไปให้บริการแลกเครื่องฟรีในละแวกที่อยู่อาศัยอย่างที่ทำการ อบต.
ฐิติพงศ์ กล่าวย้ำตอนท้ายว่า “ต้องขอขอบคุณ อบต.และเทศบาลที่ได้ร่วมมือกับเอไอเอสในการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ลูกค้าเอไอเอสสามารถแลกเครื่องได้อย่างสะดวกสบายใกล้บ้าน โดยไม่ต้องเดินทางไกล เป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มามอบให้แก่ประชาชน ซึ่งเอไอเอสในฐานะผู้ประกอบการยินดีเป็นอย่างมากที่จะมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ โดยเริ่มต้นจากการเชิญประชาชนให้เริ่มใช้เทคโนโลยีอย่าง 3G และ 4G นั่นเอง”
*** ซีเอส ล็อกซอินโฟ จัดงาน Sharing Digital Experiences by CS LOXINFO
อนันต์ แก้วร่วมวงศ์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) สร้างปรากฏการณ์ใหม่แก่วงการไอซีทีไทย ด้วยการจัดงาน Sharing Digital Experiences by CS LOXINFO ครั้งแรกในประเทศไทยกับสุดยอดทอล์กโชว์โซลูชันด้านไอซีทีเต็มรูปแบบที่อัดแน่นไปด้วยสาระ และความสนุก โชว์โซลูชันไอซีทีสุดล้ำเต็มรูปแบบ พร้อมด้วย ธนวรรธน์ โชติพิชญะวิทย์ (ที่ 2 จากซ้าย) สรรเสริญ ชุมภูนุช (ที่ 5 จากซ้าย) ทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบไอซีทีครบวงจร อ.ภควัต รักศรี (ที่ 4 จากซ้าย) ที่ปรึกษาทางธุรกิจ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ (ซ้าย) และ อ.ศุภเดช สุทธิพงศ์คณาสัย (ขวา) ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางด้านไอซีที ที่โรงละครอักษรา คิงเพาเวอร์ เมื่อเร็วๆ นี้
*** เออาร์ไอที เฟ้นหาเยาวชนคนเก่งเข้าแข่งขัน โครงการ MOS Olympic Thailand Competition 2016
เออาร์ไอที สานต่อโครงการ MOS Olympic Thailand Competition 2016 โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยอายุระหว่าง 16-20 ปี ที่มีทักษะในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้าร่วมสมัครเข้าแข่งขันการใช้โปรแกรมชุด Microsoft Office ในโครงการ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 มีนาคม 2559 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยน้องๆ ที่สมัครเข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิการอบรมความรู้อย่างเข้มข้นกับวิทยากรที่ผ่านมาตรฐานระดับสากล และร่วมลุ้นการเป็นแชมป์ประเทศไทย เพื่อเป็นตัวแทนในการเข้าร่วมแข่งขันบนเวทีโลก พร้อมของรางวัลมูลค่ากว่า 2 แสนบาท ที่รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา
วรเทพ มงคลวาที ผู้จัดการทั่วไปบริษัท เออาร์ไอที จำกัด ผู้ดำเนินโครงการ MOS Olympic Thailand Competition 2016 เปิดเผยว่า โครงการ MOS Olympic Thailand 2016 ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 14 โดยการจัดงานที่ผ่านมา มีตัวแทนเยาวชนไทยได้สร้างชื่อเสียงบนเวทีโลกหลายครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดปี 2015 เยาวชนไทยสามารถคว้าแชมป์โลกโปรแกรม Microsoft Power Point 2013 ได้สำเร็จ สร้างชื่อเสียง และความภูมิใจให้แก่ประเทศ และสถาบันการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ทาง เออาร์ไอที ผู้ดำเนินโครงการยังคงเห็นความสำคัญทางด้านไอที และต้องการสนับสนุนให้เยาวชนไทยมีเวทีในการแสดงความสามารถให้ทั่วโลกได้ยอมรับ จึงขอเชิญชวนสถาบันการศึกษาส่งตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมโครงการการแข่งขัน MOS Olympic Thailand Competition 2016 นี้ โดยเปิดรับสมัครเยาวชนไทยตั้งแต่วันนี้-วันที่ 10 มีนาคม 2559 สามารถสมัคร และศึกษารายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ www.aritedu.com/olympic 2016 หรือติดต่อสอบถาม โทร.0-2682-6350-4
*** การ์มินตอบรับเทรนด์การวิ่งบูม เปิดตัวบริการล่าสุด “การ์มิน มูฟ (Garmin Move)”
การ์มิน ผู้นำนวัตกรรมด้านกีฬา และไลฟ์สไตล์ระดับโลก นำโดย ชาญณรงค์ ธีระโรจนารัตน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์แบรนด์การ์มิน (ที่ 2 จากซ้าย) เปิดตัวบริการใหม่ล่าสุด “การ์มิน มูฟ (Garmin Move)” บริการให้นักวิ่งทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่นยืมนาฬิกาวิ่งการ์มินไปทดลองใช้งานจริงฟรี เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อรุ่นที่เหมาะสมสำหรับตนเอง เปิดให้บริการที่แรกที่ร้าน Banana 2U ถ.สารสิน บริเวณหลังสวนลุมพินี โดยมี นายกำธร นทีธนสาร กรรมการผู้จัดการร้าน Banana 2U (ที่ 2 จากขวา) ร่วมถ่ายภาพ ขั้นตอนการยืมสามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ใช้หลักฐานบัตรประชาชน โดยผู้ยืมสามารถนำไปทดลองใช้ได้ 2 ชั่วโมง ปัจจุบันมีนาฬิกาวิ่งให้เลือกทดลอง 7 รุ่น และการ์มินมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนรุ่นของนาฬิกา และขยายบริการให้ครอบคลุมสวนสาธารณะหลักในกรุงเทพฯ ในอนาคต ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Garmin Call Center 0-2266-9944 หรือ www.GPSsociety.com
*** บราเดอร์ สนับสนุนเยาวชนไทยในโครงการ The First Thailand ERM Challenge 2016
นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ (ซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด มอบผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์บราเดอร์รุ่น MFC-L2740DW จำนวน 5 เครื่องให้แก่ นายปรมินทร์ เยาว์ยืนยง (ขวา) ตัวแทนคณะผู้จัดโครงการ เพื่อนำไปมอบให้แก่นักศึกษาที่ผ่านเข้ารอบในโครงการการแข่งขันบริหารทรัพยากรองค์กร 2559 (The First Thailand ERM Challenge 2016) ซึ่งเครื่องพิมพ์บราเดอร์จะถูกนำไปใช้เป็นอุปกรณ์สำนักงานคุณภาพเพื่อใช้ในบริษัทจำลองให้แก่ทีมตัวแทนนักศึกษาไทยที่ผ่านเข้ารอบไปแข่งขันในโครงการ 2nd ERM Challenge 2016 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ SIM Global University ประเทศสิงคโปร์ ในเดือนกันยายน 2559 นี้
*** เอไอเอส ไฟเบอร์ ส่ง 3 อุปกรณ์เสริมใหม่ ราคาพิเศษ อัปเกรดชีวิตดิจิตอล
เอไอเอส ไฟเบอร์ ยกระดับชีวิตยุคดิจิตอลด้วยอุปกรณ์เสริมใหม่ล่าสุด ที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบรอดแบนด์ความเร็วสูง ให้เร็ว แรง และครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยวางจำหน่ายในราคาพิเศษ ได้แก่ 1.Powerline อุปกรณ์ที่จะช่วยขยายสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่ให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ที่ต้องการใช้งานภายในบ้าน เพียงเสียบอุปกรณ์เข้ากับปลั๊กไฟอย่างน้อย 2 จุด เพื่อเป็นตัวส่งสัญญาณไร้สายเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสายไฟภายในบ้านโดยไม่ต้องลากสาย LAN ให้ยุ่งยาก ราคาเพียง 790 บาท (ปกติ 1,190 บาท) 2.อุปกรณ์กระจายสัญญาณ Dual band WiFi Router ที่สามารถกระจายสัญญาณได้ถึง 2 คลื่นความถี่ คือ 2.4 GHz และ 5 GHz ตัดปัญหาเรื่องสัญญาณกวนกัน และให้ความเร็วในการรับส่งสัญญาณเต็มสปีด ราคาเพียง 1,190 บาท (ปกติ 1,790 บาท) 3.โทรศัพท์ไร้สายระบบดิจิตอล ที่ให้คุณภาพเสียงใส คมชัด ไม่มีสะดุด ให้ทุกการติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องง่าย ราคาเพียง 990 บาท (ปกติ 1,390 บาท) พร้อมโปรโมชันพิเศษ! โทร.หาเบอร์บ้านเอไอเอสฟรี สิทธิพิเศษนี้เฉพาะลูกค้าเอไอเอส ไฟเบอร์ เท่านั้น สนใจสมัครใช้บริการ AIS Fibre และซื้ออุปกรณ์เสริม โทร.1185 หรือ www.ais.co.th/fibre
*** เน็ตแอพเผยเทรนด์เทคโนโลยีในปี 2559
เน็ตแอพ เผยเทรนด์เทคโนโลยีในปี 2559 ซึ่งจะเป็นปีที่มุ่งสู่ความเรียบง่ายในการทำงานด้านไอที โดยผลิตภัณฑ์ และโซลูชันจะตอบสนองความต้องการของตลาดด้วยระบบการจัดการที่ง่าย ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และสามารถจัดการข้อมูลได้ครบวงจร โดย นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เน็ตแอพ เผยให้เห็น 7 เทรนด์สำคัญที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 1.โครงสร้างพื้นฐานสำเร็จรูปแบบครบวงจร (Converged Infrastructure) จะช่วยลดการทำงานที่ซับซ้อนของฮาร์ดแวร์ต่างๆ ลดอุปสรรคในการจัดการข้อมูลบนดาต้า เซ็นเตอร์ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับนวัตกรรมใหม่ของซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบไอทีแก่องค์กรต่างๆ ให้รวดเร็วขึ้น ในขณะที่ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง จากการสำรวจพบว่า 40% ในหลายองค์กรวางแผนลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานตลอดปี 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลต่อเนื่อง และเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้นในปีนี้
2.เสริมทัพความเรียบง่าย และรวดเร็วในการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบบครบวงจร (Converged) ซึ่งจะเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโครงสร้างพื้นฐานไอทีของแต่ละองค์กร เพราะจะสามารถแก้ปัญหาลำดับต้นๆ ที่หลายองค์กรเผชิญอยู่นั่นคือ การขาดแคลนพื้นฐาน และทักษะความเชี่ยวชาญด้านไอที แนวคิด DevOps (Development and Operation) จะช่วยลดปัญหาข้อขัดแย้ง รวมทั้งยังช่วยปรับปรุงการทำงานร่วมกันภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้หลายองค์กรจะเพิ่มการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานสำเร็จรูปแบบครบวงจร อันเนื่องมาจากการเติบโตของแนวคิด DevOps ซึ่งนำมาปรับใช้ในองค์กรอย่างแพร่หลาย โครงสร้างพื้นฐานสำเร็จรูปแบบครบวงจรสามารถช่วยลดเวลาในการทำงาน โดยการปรับปรุงบางกระบวนการให้เป็นอัตโนมัติ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจัดการฮาร์ดแวร์ การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถกลับมาทำงานที่จะช่วยให้องค์กรเดินหน้า และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างสำเร็จลุล่วง
3.รูปแบบศูนย์ข้อมูลแบบ All-Flash จะถูกนำไปใช้งานจริง ข้อมูลจากไอดีซีเผยให้เห็นการเติบโตของตลาด Flash ทั่วโลกนั้นเพิ่มสูงขึ้นถึง 11,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 406,800 ล้านบาท) ในปี 2557 ขณะที่มีรายงานเพิ่มเติมว่า Flash Storage นั้นเติบโตสูงถึง 101% อย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 ในเขตเศรษฐกิจยูโรเมดิเตอร์เรเนียน (EMEA) ในปีนี้คาดว่าความจุของ Flash จะเริ่มมีขนาดที่ใหญ่กว่า Disk Drives และด้วยราคาที่ถูกกว่าจะทำให้ Flash ใช้การได้กับแอปพลิเคชันต่างๆ ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายอีกด้วย ระบบการจัดการ และเก็บข้อมูลบน Flash จะทำให้มีผู้ใช้งานเลือกนำไปใช้เพิ่มขึ้น เพราะใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และขจัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อ Disk Drives
4.การใช้งานบน Flash จะขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการเลือกใช้ระบบงานที่ให้ความเร็วสูง (Performance Applications) เพราะการใช้ Flash ทำให้ระบบงานรวดเร็วขึ้น ซึ่งสมัยก่อนไม่มี Flash จึงต้องใช้แอปพลิเคชันเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบงานรวดเร็ว โลกไอทีจะมุ่งหน้าสู่ Flash ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อันเนื่องมาจากราคาที่ถูกกว่านั่นเอง คาดการณ์ว่ายอดขาย Flash จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เนื่องมาจากการตัดราคากันของบริษัทยักษ์ใหญ่ซึ่งกำลังช่วงชิงตำแหน่งในการเป็นผู้นำตลาดด้วยราคาที่ถูกลง ทำให้หลายองค์กรเริ่มหันมาใช้ Flash กันมากขึ้นเพื่อช่วยขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น
5.การบริหารจัดการข้อมูลจะเปิดเส้นทางใหม่สู่การใช้งานบน Hybrid Cloud เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเทรนด์การใช้งานบน Hybrid Cloud กำลังเติบโตขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจกำลังขยายตัว หน่วยงานด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศจึงต้องเรียนรู้ และปรับตัวตามไปด้วย เพื่อสนับสนุนผู้ใช้งานซึ่งต้องการความยืดหยุ่น การตอบสนองอย่างรวดเร็ว และต้องการเลือกใช้ผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) กระบวนการเข้าสู่โครงสร้างของ Hybrid Cloud นั้น การส่งผ่านข้อมูลระหว่างคลาวด์อย่างไร้รอยต่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานภาคไอที เติมเต็มระบบคลาวด์ส่วนตัวภายในองค์กรด้วยผู้ให้บริการคลาวด์อื่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยไม่ต้องเผชิญความเสี่ยง หรือเงื่อนไขที่ซับซ้อน ตลอดจนปราศจากข้อกังวลเรื่องข้อมูลสำคัญขององค์กรจะสูญหาย
6.บทบาทหน้าที่ของสตอเรจจากที่เคยเป็นที่เก็บข้อมูลจะเปลี่ยนไปสู่การเป็นผู้ควบคุมดูแลข้อมูล เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ขณะที่หลายองค์กรกำลังเข้าสู่โมเดลการส่งข้อมูลบนคลาวด์ซึ่งช่วยลดต้นทุน เพิ่มความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพในการทำงาน สตอเรจจะเปลี่ยนผ่านจากการเป็นผู้สร้าง และจัดการข้อมูลไปสู่การเป็นผู้ควบคุมดูแลการให้บริการบนคลาวด์ส่วนตัวภายในองค์กร และผู้ให้บริการคลาวด์จากที่ต่างๆ ในปีนี้ หน้าที่ของสตอเรจในการจัดเก็บข้อมูลแบบเดิมๆ จะพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ควบคุมดูแลข้อมูลทั้งหมดที่อยู่บน Hybrid Cloud
และ 7.นวัตกรรมการจัดการข้อมูลจะขจัดปัญหาความปลอดภัยบนคลาวด์ และข้อกังวลเรื่องอำนาจในการจัดการข้อมูล ความกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล และอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หลายองค์กรต้องวางแผนการจัดการข้อมูลบนคลาวด์อย่างรอบคอบ แน่นอนว่าเหล่าผู้จัดการข้อมูลควรจะต้องทราบว่า ข้อมูลที่อยู่บนคลาวด์นั้นถูกเก็บไว้ที่ไหน และใครเป็นผู้จัดการดูแลข้อมูลเหล่านั้นอยู่ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ความปลอดภัยในการเก็บข้อมูลดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความยืดหยุ่น ความอิสระในการโยกย้ายข้อมูล ซึ่งเกิดมาจากการผสมผสานระบบ Colocation (การนำสตอเรจไปฝากไว้ที่ดาต้า เซ็นเตอร์ที่ใดที่หนึ่ง) โดยสามารถควบรวมคลาวด์ที่ตั้งอยู่ภายในองค์กร และผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ระดับโลก ซึ่งมีเซิร์ฟเวอร์อยู่ในต่างประเทศให้กลายเป็นโซลูชันเพียงหนึ่งเดียวได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยศักยภาพในการสลับระหว่างผู้ให้บริการคลาวด์ในพริบตาเดียว โดยไม่ต้องมีการย้ายข้อมูลจากคลาวด์ที่หนึ่งไปอยู่อีกที่หนึ่ง เอื้อประโยชน์ให้แก่องค์กรต่างๆ เพราะลดเวลาการทำงานด้านไอที แต่เพิ่มเวลาให้โฟกัสกับนวัตกรรมใหม่ๆ โดยไม่สูญเสียความปลอดภัย และอำนาจในการควบคุมข้อมูล
*** เปิดตัวแอปพลิเคชันมือถือน้องใหม่ Tapsey แอปหาผู้ช่วยมืออาชีพ
Inspire Ventures บริษัทนักลงทุน VC (Venture Capital) ยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันมือถือน้องใหม่ที่จะมาเปลี่ยนประสบการณ์การหาช่างแต่งหน้า ช่างทำผม แม่บ้าน ช่างซ่อม และช่างปรับปรุงบ้านให้ง่ายขึ้น แพทริค โมนาโค ซอร์เจอร์ (Mr.Patrick Monaco-Sorge) รองประธานบริษัท Inspire Ventures และ CEO ของ Tapsey ได้ริเริ่มสร้างแอปพลิเคชัน Tapsey ขึ้นเพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ที่กำลังมองหาบริการกับผู้ช่วยมืออาชีพ กล่าวว่า “ปัจจุบันการหาผู้ช่วยมืออาชีพไม่ว่าจะสำหรับวันพิเศษ อย่างช่างแต่งหน้า ช่างทำผม หรือชีวิตประจำวันอย่างแม่บ้านนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมันใช้เวลาเยอะมาก บางครั้งใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนวันกว่าจะได้เบอร์ติดต่อมาสักคนหนึ่ง ซึ่งหลายๆ ครั้งผมอาจต้องมาเริ่มหาใหม่ด้วยซ้ำเพราะมันเกินงบ หรือไม่ต้องช่วงเวลาที่ผมสะดวก แถมยังต้องมากังวลว่าเชื่อใจได้หรือเปล่า ผมมองว่าการหาผู้ช่วยมืออาชีพควรที่ง่าย และสะดวกกว่านี้ ผมจึงสร้าง Tapsey ขึ้นมา”
Tapsey เป็นแอปพลิเคชันมือถือที่ทำหน้าที่ดั่งตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับมืออาชีพในหลากหลายสาขา ตั้งแต่ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ช่างภาพ ช่างซ่อม หรือแม้กระทั่งแม่บ้าน ที่นอกจากจะมีบริการหลากหลายแล้ว ยังใส่ใจด้านความปลอดภัยอีกด้วย เพราะมืออาชีพทุกคนล้วนต้องผ่านการคัดกรองทั้งทางด้านประการณ์การทำงาน และความปลอดภัยก่อนถึงจะสามารถเข้าใช้ระบบ Tapsey ได้ ด้วย Tapsey ผู้ใช้บริการสามารถหาผู้ช่วยมืออาชีพหลาหลายสาขาได้ เพียงแค่เลือกบริการที่ต้องการ แล้วตอบคำถามเล็กน้อยเพื่อระบุที่รายละเอียดงาน และความต้องการทางด้านราคา เวลา และสถานที่ คุณผู้ใช้ก็สามารถพบเจอกับมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญเหมาะสม และพร้อมให้บริการได้สูงสุดถึง 5 คนเลยทีเดียว นอกจากนี้ คุณผู้ใช้ยังสามารถเข้าไปดูประวัติ และผลงานในโปรไฟล์ของมืออาชีพได้ รวมถึงพูดคุยกับมืออาชีพผ่านระบบแชตบนแอปพลิเคชันได้อีกด้วย ตอนนี้ Tapsey ได้เปิดบริการอย่างเป็นทางการ และสามารถใช้งานได้แล้วในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สนใจลองประสบการณ์การหามืออาชีพรูปแบบใหม่ที่ง่าย และสะดวกกว่าเดิม สามารถดาวน์โหลด Tapsey กันฟรีๆ ได้เลยที่ http://m.onelink.me/b05846ee สำหรับระบบ Android และ http://m.onelink.me/2620596 สำหรับระบบ iOS แล้วอย่าลืมติดตามข่าวสารโปรโมชันสุดพิเศษได้ผ่าน 2 ช่องทาง แฟนเพจ Facebook: Tapsey Thailand และ Instagram: tapsey_th