เอคเซนเซอร์ เผยปีนี้คาดรายได้ทั่วโลกจะเติบโต 5-8% ส่วนภาพรวมตลาดไอทีของไทยจะเติบโตจากการเข้าสู่ยุคดิจิตอลที่ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัว แนะธุรกิจยุคนี้ต้องให้ความสำคัญต่อคนเป็นลำดับแรก เพราะจะเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจที่สำคัญ และมีส่วนในการทำให้ธุรกิจสามารถรับ 5 เทรนด์ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของเอคเซนเซอร์ในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่ดี มีศักยภาพในกลุ่มธุรกิจดิจิตอลโมบิลิตี เช่นเดียวกับงานด้านการวางระบบสารสนเทศที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2016 นี้ภาพรวมธุรกิจของเอคเซนเซอร์จะมีอัตราการเติบโตของรายได้สุทธิ 5-8% ซึ่งเอคเซนเซอร์มองว่าภาพรวมตลาดไอทีของเมืองไทยในปีนี้จะมีการเติบโต เพราะต้องมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้เข้าสู่ดิจิตอล
ปัจจุบัน ดิจิตอลทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยเริ่มเปลี่ยนไป โดยมีการใช้ช่องทางออนไลน์อย่างน้อยหนึ่งช่องทาง และมีการสื่อสารตอบโต้ทางดิจิตอลกันมากกว่าเดิม ซึ่งการใช้งานดิจิตอลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนั้นเนื่องจากต้องการความรวดเร็วในการตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการต่างๆ ดังนั้น องค์กรต้องทำการปรับตัวให้มีสินค้า และบริการที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีการใช้งานดิจิตอลตั้งแต่น้อยไปหามาก ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มการใช้งาน
“นอกจากนี้ ธุรกิจในโลกดิจิตอลนี้จะต้องให้ความสำคัญต่อคนเป็นลำดับแรก เพราะจากรายงานเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุดโดยเอคเซนเชอร์ ระบุว่าองค์กรชั้นนำในยุคเศรษฐกิจดิจิตอลจะอยู่รอด และสำเร็จได้ด้วยการให้ความสำคัญต่อคนเป็นอันดับแรก เพราะเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การก้าวให้ทัน และใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งที่องค์กรต้องเร่งปรับตัว รวมไปถึงต้องเสริมสร้างศักยภาพของคนทำงานให้ได้เปิดรับเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และใช้ประโยชน์เทคโนโลยีได้ดียิ่งขึ้น”
นายนนทวัฒน์ กล่าวว่า โดยบุคลากรนั้นนอกจากจะช่วยขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิตอลได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการสนองต่อเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ 5 ด้าน ที่จะช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จในยุคดิจิตอล โดยจากการสำรวจกลุ่มผู้บริหารธุรกิจ และไอทีมากกว่า 3,100 คน เอคเซนเชอร์ พบว่า 33% ของเศรษฐกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากยุคดิจิตอล นอกจากนี้ 86% ของผู้ที่ตอบผลการสำรวจยังคาดว่าในช่วงอีก 3 ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีจะเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก หรือเปลี่ยนไปในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
โดยเทรนด์เทคโนโลยี 5 ประการที่ขับเคลื่อนด้วยการให้ความสำคัญต่อคนมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในยุคดิจิตอลนี้ เทรนด์หลักเหล่านี้ ได้แก่ 1.Intelligent Automation (ความอัตโนมัติอันชาญฉลาด) 2.Liquid Workforce (ทีมงานคล่องตัวสูง) 3.Platform Economy (แพลตฟอร์มเศรษฐกิจ) 4.Predictable Disruption (หยั่งรู้ทิศทางการเปลี่ยนแปลง) 5.Digital Trust (ความเชื่อมั่นในดิจิตอล)
ในส่วนของ Intelligent Automation นั้นผู้บริหารองค์กรที่นำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นสร้างจากปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เทคโนโลยี โรโบติกส์ และออกเมนเต็ด เรียลิตี สิ่งเหล่านี้เข้ามาเปลี่ยนพื้นฐานการทำธุรกิจโดยสิ้นเชิง และเชื่อมโยงการทำงานระหว่างคน และเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่องค์กรลงทุนก้อนใหญ่พอสมควรในระบบนี้
Liquid Workforce เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ปรับสภาพการทำงาน และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้วยการมีทีมงานคล่องตัวสูงนั้น จะช่วยเปิดโอกาสให้องค์กรชั้นนำสร้างสภาพแวดล้อมที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับความต้องการด้านดิจิตอลได้เป็นอย่างดี
Platform Economy แพลตฟอร์มจะกลายมาเป็นกลยุทธ์การเติบโตหลักขององค์กรในช่วง 3 ปีข้างหน้านับจากนี้ โดยธุรกิจจะต้องพยายามพัฒนาศักยภาพของเทคโนโลยีด้วยการพัฒนาโมเดลธุรกิจของตนบนแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ
Predictable Disruption ผู้บริหารที่มองการณ์ไกลจะสามารถคาดการณ์ได้ถึงแนวโน้มของระบบนิเวศว่าจะเป็นไปในทิศทางใด และพัฒนาความสามารถในการแข่งขันให้สอดคล้องต่อระบบนิเวศยุคดิจิตอลที่พัฒนาขึ้นมานั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งกำลังจะกลายเป็นรากฐานสำคัญของคลื่นลูกหน้าในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยการเชื่อมโยงตลาดเข้าด้วยกัน และทำให้เส้นแบ่งระหว่างอุตสาหกรรมลดเลือนไป
Digital Trust ความเชื่อมั่นเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจยุคดิจิตอล การจะทำให้ลูกค้าแต่ละคน ระบบนิเวศ และหน่วยงานกำกับเศรษฐกิจยุคใหม่มีความเชื่อมั่นนั้น ธุรกิจต่างๆ ต้องให้ความสำคัญ ใช้จริยธรรมด้านดิจิตอลเป็นกลยุทธ์หลัก เพราะความปลอดภัยด้านดิจิตอลเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
Company Related Link :
Accenture